วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ฮือ!มูตั้งออปชั่นลาชุดขาว-โยกคุมผี

ฮือ!มูตั้งออปชั่นลาชุดขาว-โยกคุมผี
สื่อผู้ดีปูด โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือจอมอหังการ วางแผนหางานใหม่ ตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดตัวกับ เรอัล มาดริด เมื่อเล็งก้าวขึ้นเป็นทายาทของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งคาดว่า น่าจะวางมือในอีก 2 ซีซั่นข้างหน้า หนังสือพิมพ์ซันเดย์ มิร์เรอร์ รายงานเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า โชเซ่ มูรินโญ่ เทรนเนอร์คนใหม่ของ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่ลา ลีกา สเปน มีการปูทางอนาคตเข้าคุมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมแชมป์พรีเมียร์ลีก 11 สมัย เอาไว้แล้ว ด้วยการกำหนดเงื่อนไขฉีกสัญญากับ "ราชันชุดขาว" หากประสบความสำเร็จดี

มูรินโญ่กำลังจะเปิดตัวกับเรอัล มาดริด ในวันจันทร์นี้ หลังย้ายมาจากอินเตอร์ มิลาน ยอดทีมของอิตาลี ที่เขาพาทีมกวาดแชมป์ทุกรายการทั้ง กัลโช่ เซเรีย อา, โคปปา อิตาเลีย และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

กุนซือชาวโปรตุกีส ต้องการสร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์ยุโรปกับ 3 ทีม หลังประสบความสำเร็จมาแล้วกับอินเตอร์ และเอฟซี ปอร์โต้ แม้กระนั้น เจ้าตัวก็ต้องการรีเทิร์นกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่ในพรีเมียร์ลีก โดยเล็งเก้าอี้ "ปีศาจแดง"ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือสกอตติช เอาไว้

มูรินโญ่จะเซ็นสัญญากับเรอัล มาดริด ที่ 4 ปี แต่จะมีออปชั่นที่ลงรายละเอียดว่า สามารถอำลาซานติอาโก้ เบร์นาเบว ได้หลังผ่านการคุมทีมไปแล้ว 2 ปี และสามารถนำทีมประสบความสำเร็จดีตามที่ต้องการ

รายงานระบุว่า อดีตกุนซือเชลซี สนใจกลับมาอังกฤษ แต่ต้องการคุมทีมเฉพาะ แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมเดียวเท่านั้น โดยแม้จะมีข่าวโยงกับเชลซี แต่โอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีปัญหาแตกกหักกับ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรในช่วงที่แยกทางกันเมื่อ 3 ปีก่อน

และจากการที่มูรินโญ่ เล็งเก้าอี้กุนซือโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไว้ หากถึงวันหนึ่งวันใดที่ เซอร์ อเล็กซ์ อำลาทีม ทำให้เขาจะไม่เดินหน้าคว้าตัว เวย์น รูนี่ย์ ดาวยิงทีมชาติอังกฤษ ไปจาก "ปีศาจแดง" แต่อย่างใด แม้จะมีข่าวโยงกันก่อนหน้านี้ เนื่องจากไม่ต้องการผิดใจกับแฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด นั่นเอง

กิลล์เผยเซอร์หากุนซือผีใหม่เอง

เดวิด กิลล์ ประธานบริหารสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รองแชมป์พรีเมียร์ลีก ออกมาเปิดเผยว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือชาวสกอตติช จะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการมองหากุนซือคนใหม่เข้ามาสืบทอดความสำเร็จในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หลังจากคุมทีมมายาวนาน 23 ปี ช่วยทีมคว้าแชมป์ 34 รายการ รวมถึงพรีเมียร์ลีก 11 สมัย และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย

กิลล์ เผยว่าสโมสรจะยึดคำแนะนำของ เฟอร์กูสัน เป็นหลัก แต่ยืนยันว่า กุนซือวัย 68 ยังไม่คิดจะวางมือในเร็วๆ นี้แต่อย่างใด โดยกล่าวกับ ดิ อินดิเพนเดนท์ หนังสือพิมพ์เมืองผู้ดีเมื่อ 30 พ.ค. ว่า "เราไม่รู้ว่า อเล็กซ์ ตั้งใจวางมือเมื่อไร เขาอาจจะทำต่อไปอีกนานก็ได้"

ซีอีโอปีศาจแดง เผยว่า เมื่อ เฟอร์กี้ วางมือแล้ว เขาจะร่วมกับ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และเจ้าของสโมสร เพื่อค้นหาตัวแทนที่เหมาะสม "มันจะเป็นการถกกันระหว่าง อเล็กซ์, บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และเจ้าของทีม ผมคิดว่า อเล็กซ์ จะมีบทบาทสำคัญ เขารู้จักผู้คนดี เขาจะมีบทบาทในการแนะนำและหยั่งเสียงคณะผู้บริหาร ผมมั่นใจว่าเขาจะคุยกับเจ้าของทีม มันจะเป็นความผิดพลาดถ้าเราไม่ใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญของเขา"

โนคอมเมนต์มู-ลั่นไม่ปล่อยรูนแน่

กิลล์ ระบุว่า มีตัวเลือกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในการพิจารณาของสโมสรแล้ว แต่ปฏิเสธจะเปิดเผยรายชื่อดังกล่าว และเมื่อถามถึง โชเซ่ มูรินโญ่ ว่าที่กุนซือเรอัล มาดริด ว่าอยู่ในรายชื่อด้วยหรือไม่ เขายอมรับเพียงว่าประทับใจในความสำเร็จของกุนซือชาวโปรตุกีส "มีบางสิ่งแน่นอนเกี่ยวกับเขา เขาคือผู้ชนะ"

อย่างไรก็ตาม กิลล์ ยืนยันว่า ตนจะปฏิเสธข้อเสนอของ มูรินโญ่ ทันที หากคิดจะดึง เวย์น รูนี่ย์ ดาวยิงตัวเก่ง ไปค้าแข้งที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว หลังจาก อดีตกุนซือ อินเตอร์ มิลาน ไปแสดงความสนใจ รูนี่ย์ ผ่านสื่อในสเปน

"เขา (รูนี่ย์) จะไม่ไปที่นั่น เขาไม่ต้องการไปที่นั่นด้วย อาจจะมีข่าวลือต่างต่างนานา แต่ผมไม่ได้สนใจ" กิลล์ ยืนยัน

ที่มา http://www.siamsport.co.th/Sport_Football/100531_026.html

สื่อปูด!น้ามูวางแผนคุมผี หลังยังไม่ได้เปิดตัวกับราชัน

สื่อปูด!น้ามูวางแผนคุมผี หลังยังไม่ได้เปิดตัวกับราชัน

Jose Mourinho / โชเซ่ มูรินโญ่
โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสร “ราชันชุดขาว” รีล มาดริด โคตรทีมจากลีกสเปน เตรียมวางแผนเข้าคุมทีม “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาไว้แล้ว ด้วยการกำหนดเงื่อนไขในการฉีกสัญญากับ “ราชันชุดขาว” หากประสบความสำเร็จดี จากการรายงานของ ซันเดย์ มิร์เรอร์ สื่อชื่อดังชาวอังกฤษ
รายงานระบุว่า โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุเกส สนใจกลับมาสร้างชื่อเสียงในลีกอังกฤษอีกครั้ง แต่ว่าต้องการมากุมบังเหียน “ผีแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมเดียวเท่านั้น แม้จะมีข่าวลือกับ “สิงห์บูลส์” เชลซี อริร่วมลีกผู้ดี แต่โอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจาก ยอดเทรนเนอร์รายนี้ เคยมีปัญหากับ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสร “สิงโตพันล้าน” ในช่วงที่แยกทางกันเมื่อ 3 ปีก่อน

อย่างไรก็ตาม มูรินโญ่ กำลังจะเซ็นสัญญาในการรับตำแหน่งผู้จัดการทีมรีล มาดริด เป็นระยะเวลา 4 ปี แต่ทว่าจะมีออปชั่นที่ลงรายละเอียดว่า สามารถอำลาซานติอาโก้ เบร์นาเบว ได้ หลังจากผ่านการคุมทีมไปแล้ว 2 ปี และ สามารถนำต้นสังกัดจากลีกสเปนมาครองความยิ่งใหญ่ได้อีกหน

ทั้งนี้ โชเซ่ มูรินโญ่ กำลังจะเปิดตัวอยบ่างเป็นทางการกับรีล มาดริด ภายในสัปดาห์นี้ หลังย้ายมาจากทัพ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน ของศึกอิตาลี ที่เขาสามารถพาทีมกวาดแชมป์ทุกรายการทั้ง กัลโช่ เซเรีย อา, โคปปา อิตาเลีย และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

ที่มา http://sport.mthai.com/football/english/30627.html

วัวลืมตีน!แมวมองฟ้าขาวชี้ เมสซี่ ดังแล้วลืมกำพืช

วัวลืมตีน!แมวมองฟ้าขาวชี้ เมสซี่ ดังแล้วลืมกำพืช

ลิโอเนล เมสซี่ (Lionel Messi) ยืนซ้ายสุดแถวบน
เอร์เนสโต้ เวคคิโอ แมวมองตาเพชร ออกมากล่าวอ้างความดีความชอบว่า ตนคือบุคคลที่ทำให้ ลิโอเนล เมสซี่ กลายเป็นนักเตะซูเปอร์สตาร์แห่งวงการลูกหนังทั่วโลก แต่ต้องกลับผิดหวังในตัว กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์รายนี้ ที่ลืมบุญคุณคนที่ปลุกปั้นไปแล้ว
” มันเป็นเรื่องราวที่เนินนานเกินกว่า 10 ปีแล้ว นับตั้งแต่ที่เราได้คุยกัน มันน่าละอายจริงๆที่เด็กๆทั้งหลายลืมไปแล้วว่า พวกเขามายืนในจุดๆนี้ได้เพราะใคร ในปี 2006 ผมได้ยินว่า ลิโอเนล อยู่ในโรซาริโอ และ ผมก็เดินทางไปที่บ้านของเขาเพื่อที่จะคุยกับ เจ้าหนูดาวรุ่ง เพื่อรำลึกถึงวันเก่าๆร่วมกัน แต่ผมกลับได้รับคำตอบว่า ลิโอเนล ไม่ได้อยู่ที่นี้แล้ว ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ผมได้รู้ความจริงว่า ครอบครัวของเขาพากันโกหกผม ” เวคคิโอ กล่าว.

” พวกเขาคงกลัวสินะ!ว่าผมจะไปเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างจากพวกเขา เงินสามารถเปลี่ยนแปลงคนได้จริงๆ ” เวคคิโอ กล่าวเสริม.

เอร์เนสโต้ เวคคิโอ ยืนยันผ่านสื่อท้องถิ่นว่า เขาคือคนแรกของโลกที่ได้เจอกับ เด็กชายร่างเล็กผอมแห้ง โดยบังเอิญ และต้องทึ่งกับทักษะการเล่นฟุตบอล จนตัดสินใจพาให้สโมสร นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ ยักษ์ใหญ่แห่งลีกอาร์เจนติน่า ดูตัวก่อนที่ “บาร์ซ่า” บาร์เซโลน่า จับเซ็นสัญญาตั้งแต่อายุ 12 ขวบ

ที่มา http://sport.mthai.com/football/general-sport-football/30649.html

กาซิยาสนำทัพนายทวารจวก จาบูลานี่ ห่วยไม่ต่างกับบีชบอล


กาซิยาสนำทัพนายทวารจวก จาบูลานี่ ห่วยไม่ต่างกับบีชบอล
อีเกร์ กาซิยาส ผู้รักษาประตูทีมชาติสเปน กล่าววิจารณ์ลูกฟุตบอล “จาบูลานี่” ที่ใช้ในศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ว่าเหมือนลูกบอลชายหาด หลังจากที่ได้ประสบการณ์ในการรับมือกับเจ้า “จาบูลานี่” ในเกมอุ่นเครื่องที่ชนะ ซาอุดิอาระเบีย 3-2 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
[จาบูลานี่ (Jabulani) จะถูกใช้ในศึกเวิล์ด คัพ 2010] ” มันเหมือนกับลูกฟุตบอลชายหาดจริงๆนะ ไม่ใช่แค่ผู้รักษาประตูที่ออกมากล่าวเรื่องนี้ ผู้เล่นตำแหน่งอื่นๆต่างก็รู้สึกเช่นเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ ที่เวิลด์ คัพ 2010 มีเรื่องแย่ๆอย่าง ลูกฟุตบอล แบบนี้ ” กาซิยาส กล่าว.

ส่วน จานลุยจิ บุฟฟ่อน โกลมือหนึ่งทีมชาติอิตาลี ร่วมวงวิจารณ์ “จาบูลานี่” แบบเดียวกันว่า ” การเตรียมตัวรับมือศึกบอลโลก 2010 ในตอนนี้เป็นไปด้วยดี นอกจากเรื่องเดียวที่ต้องให้ความสำคัญ คือลูกฟุตบอลที่จะใช้ในทัวร์นาเมนต์นี้ มันห่วยมากๆ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าละอายสำหรับทัวร์นาเมนต์สำคัญอย่างเวิลด์ คัพ ที่ซูเปอร์สตาร์มากมายต้องมาเล่นกับลูกบอลแบบนี้ ”

ทั้งนี้ ชูลิโอ เซซ่าร์ นายทวารทีมชาติบราซิล ก็ออกมาต่อว่าลูกฟุตบอลแบบใหม่นี้ ” ลูกฟุตบอลสามารถเปลี่ยนทิศทางได้ฉับพลันขณะพุ่งอยู่ในอากาศ ซึ่งมันยากมากต่อการเล่นสำหรับผู้รักษาประตู และ ผู้เล่นตำแหน่งอื่นๆ “

ที่มา http://sport.mthai.com/football/general-sport-football/30659.html

เสี่ยหมีคลั่ง!ล่า กาก้า,ตอร์เรส,สไนเดอร์ หวังซิวชปล.


เสี่ยหมีคลั่ง!ล่า กาก้า,ตอร์เรส,สไนเดอร์ หวังซิวชปล.
สโมสร “สิงห์บูลส์” เชลซี ยักษ์ใหญ่แห่งวงการพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังวางแผนครั้งสำคัญสำหรับการไล่ล่าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นหน้า ด้วยการคว้า 3 ซูเปอร์สตาร์ดาวดังร่วมทีม อาทิ ริคาร์โด้ กาก้า กองกลาง “ราชันชุดขาว” รีล มาดริด, เฟอร์นานโด ตอร์เรส กองหน้า “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ เวสลี่ย์ สไนเดอร์ มิดฟิลด์ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน จากการเปิดเผยของนิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ สื่อดังชาวผู้ดี
[3 ซูเปอร์สตาร์ที่ทีม "สิงห์บูลส์" หมายปอง]
รายงานจากสื่ออังกฤษตีข่าวว่า โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีม “สิงโตพันล้าน” วางแผนในการป้องกันแชมป์ลีกผู้ดีเอาไว้ ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยการทุ่มเงินก้อนยักษ์คว้า 3 แข้งดาวดัง เข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง โดยกำลังมีการทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ ไมเคิ่ล เอเมนาโล่ หัวหน้าทีมแมวมองของสโมสร

ไมเคิ่ล เอเมนาโล่ เป็นหนึ่งในคนที่ “เสี่ยหมี” ให้ความไว้วางใจมากที่สุด ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาและจากการที่ได้หารือกัน เพื่อหาข้อสรุปที่ว่าหากสโมสรเชลซี ต้องการไปให้ถึงแชมป์ยุโรปต้องใช้เงินอย่างมหาศาลในช่วงซัมเมอร์นี้ประมาณ 150 ล้านปอนด์

ริคาร์โด้ กาก้า และ เฟอร์นันโด ตอร์เรส กลายเป็นเป้าหมายที่ทั้ง โรมัน อับราโมวิช และ คาร์โล อันเชล็อตติ นายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยน ต่างมีความคิดที่ตรงกันในการคว้าตัวมาเสริมทีม ส่วน เวสลี่ย์ สไนเดอร์ ที่สามารถแจ้งเกิดอีกครั้งกับ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน กลายเป็นเป้าหมายรายใหม่ในการเสริมแกร่ง ช่วงซัมเมอร์นี้

ทั้งนี้ โรมัน อับราโมวิช จะพร้อมจ่ายราคาค่าตัวของ กาก้า, ตอร์เรส และ สไนเดอร์ ที่รายละราว 50 ล้านปอนด์ (ราว 2,450 ล้านบาท) เลยทีเดียว

ที่มา http://sport.mthai.com/football/english/30654.html

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เซอร์น่า ยัน!ปัดไก่รอไป เชลซี คาด20ล้านยูโร

เซอร์น่า ยัน!ปัดไก่รอไป เชลซี คาด20ล้านยูโร ดาริโย เซอร์น่า แบ็กขวามากประสบการณ์ของ ชัคเตอร์ โดเน็คส์ท สโมสรดังของยูเครน ยืนยันว่า เขาต้องการย้ายไปร่วมทีม เชลซี ดับเบิ้ลแชมป์ทีมล่าสุดของแดนผู้ดี ในช่วงซัมเมอร์นี้ จากการรายงานของ อินเด็กซ์ แท็บลอยด์จากเมืองตราหมากรุก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เซอร์น่า ที่ผ่านเกมกับทีมชาติโครเอเชียมาแล้ว 73 นัด โยกจาก ไฮจ์ดุ๊ค สปลิท ทีมดังในบ้านเกิดมาค้าแข้งกับ ชัคเตอร์ ตั้งแต่ปี 2003 พร้อมทั้งคว้าแชมป์ลีก 3 สมัย พร้อมกับถ้วย ยูฟ่า คัพ อีก 1 ครั้ง (2009) เผยว่า

“เชลซี คือสโมสรที่เหมาะกับสไตล์การเล่นของผม และผมก็เหมาะกับพวกเขา ผมต้องการก้าวไปข้างหน้าด้วยการลงเล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก กับสโมสรชั้นนำ ซึ่ง เชลซี เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของผม”

ทั้งนี้ สื่อรายนี้ยังระบุด้วยว่า สตาร์วัย 27 ปี ซึ่งสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรับ รวมถึงปีกขวา และเคยมีข่าวว่าเป็นเป้าหมายของ ทอตแน่ม ฮอทสเปอร์ อริร่วมเมืองของ “สิงห์บลูส์” น่าจะเดินสวนทางกับ ชูเลียโน่ เบลเล็ตติ กองหลังบราซิเลียน เข้าสู่รั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยคาดว่าค่าตัวของเขาจะอยู่ที่ 20 ล้านยูโร (900 ล้านบาท)

ที่มา http://sport.mthai.com/football/general-sport-football/30473.html

มูรินโญ่ คุมชุดขาว!เปิดตัวทางการจันทร์นี้

มูรินโญ่ คุมชุดขาว!เปิดตัวทางการจันทร์นี้ เรอัล มาดริด แถลงการณ์ยืนยัน โชเซ่ มูรินโญ่ ยอดกุนซือชาวโปรตุกีส เตรียมเปิดตัวในฐานะเทรนเนอร์คนใหม่ ที่สนาม ซานติอาโก เบร์นาเบว ในวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคมนี้หลังจากจบซีซั่นที่ผ่านมา “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ที่ต้องการดึงตัว มูรินโญ่ มาคุมทีม มีปัญหาเรื่องค่าฉีกสัญญากับ อินเตอร์ มิลาน มาตลอด แต่ล่าสุดได้รับการเปิดเผยว่า ประธานสโมสรของทั้ง 2 ทีม ได้นัดเจรจากันในเมืองมิลาน เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ และสามารถบรรลุข้อตกลงในการดึงตัว มูรินโญ่ ให้ย้ายไปทำงานในสเปนได้ ซึ่งแถลงการณ์บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ เรอัล มาดริด ได้ระบุว่า

“เรอัล และ อินเตอร์ บรรลุข้อตกลงกันได้ในวันนี้ว่า โชเซ่ มูรินโญ่ จะเป็นโค้ชคนใหม่ของ เรอัล มาดริด การทำข้อตกลงระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายเกิดขึ้นหลังการนัดเจรจาระหว่าง มัสซิโม่ โมรัตติ ประธานสโมสร อินเตอร์ และ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร เรอัล มาดริด ที่มิลาน ในช่วงบ่ายวันนี้”

ขณะเดียวกัน ทางด้านทีมจากอิตาลีอย่าง อินเตอร์ มิลาน ก็แถลงการณ์ร่วมจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ “งูใหญ่” ว่า
“มัสซิโม่ โมรัตติ ประธานของเรา และ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ พบกันเมื่อตอนบ่าย ทั้งสองสโมสรมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และสามารถตกลงเรื่องการดึง มูรินโญ่ ออกจากสัญญา มัสซิโม่ โมรัตติ ได้กล่าวขอบคุณ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ สำหรับความตั้งใจจริงของเขาที่เดินทางมาตกลงเรื่องนี้เองที่นี่”

อย่างไรก็ตาม อินเตอร์ มิลาน ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดในข้อตกลงระหว่าง มัสซิโม่ โมรัตติ ประธานสโมสรของพวกเขา และฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร เรอัล มาดริด แต่สื่อสแปนิช และอิตาเลียน รายงานตรงกันว่า “งูใหญ่” จะได้รับเงินชดเชยจำนวน 8 ล้านยูโร (ประมาณ 360 ล้านบาท)

ที่มา http://sport.mthai.com/football/spainish-football/30479.html

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ลูกโลกแรง! ซิกิซ เซ็นเข้าทัพรายที่3ตาม ฟอสเตอร์-บาเยส

ลูกโลกแรง! ซิกิซ เซ็นเข้าทัพรายที่3ตาม ฟอสเตอร์-บาเยส
[นิโกล่า ซิกิซ (เบอร์มิงแฮม) / Nikola Zigic (Birmingham)]
“ลูกโลก” เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ออกตัวร้อนแรงในตลาดซื้อ-ขายนักเตะ หลังจากนิโกล่า ซิกิซ กองหน้าเซอร์เบีย ตกลงเซ็นสัญญา 4 ปีย้ายจาก บาเลนเซีย เข้ามาร่วมทีม
ซิกิซ วัย 29 ปีเป็นนักเตะรายที่สามต่อจาก เบน ฟอสเตอร์ อดีตนายทวาร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเอ็นริค บาเยส มิดฟิลด์จากสเปน โดยการย้ายทีมครั้งนี้ไม่มีการเปิดเผยค่าตัว แต่นักเตะเซ็นสัญญาทั้งสิ้น 4 ปี

โดยกองหน้าร่างโย่งเจ้าของความสูง 202 ซม. อยู่กับ บาเลนเซีย มาตั้งแต่ปี 2007 แต่มีโอกาสลงเล่นน้อย เนื่องจากไม่สามารถเบียดตำแหน่งของ ดาบิด บีญ่า ได้ โดยทำได้เพียง 5 ประตูใน 28 เกม ก่อนที่ซีซั่น 2009 เจ้าตัวถูก ราซิ่ง ยืมตัว ก่อนโชว์ฟอร์มระเบิดยิง 13 ประตูใน 19 เกม

สำหรับ อเล็กซ์ แม็คลิช กุนซือ “ลูกโลก” ต้องการความสูงของ ซิกิซ มาเพิ่มอาวุธในแดนหน้าหลังฤดูกาลที่แล้ว เบอร์มิงแฮม ยิงได้แค่ 38 ประตูจาก 38 เกม น้อยเป็นอันดับที่ 5 ในลีก และยิงมากกว่าปอร์ทสมัธ และฮัลล์ ซิตี้ที่ตกชั้นแค่ 4 ประตูเท่านั้น

ที่มา http://sport.mthai.com/football/english/30247.html

ชุดขาวเคลียร์ทาง มูรินโญ่ สั่งปลด เปเยกรินี่ แล้ว

ชุดขาวเคลียร์ทาง มูรินโญ่ สั่งปลด เปเยกรินี่ แล้ว
[มานูเอล เปเยกรินี่ / Manuel Pellegrini]
ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร แถลงข่าวปลด มานูเอล เปเยกรินี่ เทรนเนอร์ชาวชิลี พ้นจากตำแหน่งกุนซืออย่างเป็นทางการ หลังพา ”ราชันชุดขาว” จบฤดูกาลด้วยมือเปล่า ทั้งๆ ที่ลงทุนผ่าตัดทีมด้วยเงินมหาศาลเมื่อช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา ประกาศล็อคเป้าหมาย พร้อมทาบทาม โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือฝีปากกล้าเข้ารับงานในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ทันทีที่ “เฮียเครียด” เคลียร์สัญญาส่วนตัวกับ อินเตอร์ มิลาน ได้เรียบร้อย

เจ้าของโปรเจ็คต์ “กาลาคติกอส” กล่าวว่า “เราใช้เวลาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นกับสโมสรเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา และได้ตัดสินใจจะยุติบทบาทของ มานูเอล เปเยกรินี่ ไว้เพียงแค่นี้ นอกจากนี้ ทางบอร์ดบริหารเห็นพ้องต้องกันว่าจะแต่งตั้ง โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นโค้ชคนใหม่ของ เรอัล มาดริด ทันทีที่เขาหมดพันธะสัญญากับ อินเตอร์ มิลาน ต้นสังกัด”

สำหรับ เปเยกรินี่ ที่เข้ารับงานกับ เรอัล มาดริด ได้ไม่ถึงปี ต้องกลายเป็นคนตกงานทันที หลังพา “ราชันชุดขาว” จบฤดูกาลด้วยมือเปล่า พลาดแชมป์ทั้งศึก โกปา เดล เรย์, ลา ลีกา และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ส่วนกรณีของ มูรินโญ่ มีสัญญาอยู่กับทัพ “งูใหญ่” จนถึงปี 2012 ซึ่งมีข่าวว่าหาก “เฮียเครียด” คิดจะฉีกสัญญาทิ้ง อาจต้องใช้เงินสูงถึง 16 ล้านยูโร (720 ล้านบาท)

ที่มา http://sport.mthai.com/football/spainish-football/30243.html

แมนยู งานเข้า! ชิชาริโต้ หอกใหม่จังโก้ส่อติดเพอร์มิต

แมนยู งานเข้า! ชิชาริโต้ หอกใหม่จังโก้ส่อติดเพอร์มิต [ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ 'ชิชาริโต้' / Javier Hernandez 'Chicharito']
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมรองแชมป์ศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปีล่าสุด ได้รับข่าวที่ไม่สู้จะดีนัก เมื่อล่าสุดมีรายงานว่า ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ หรือ ชิชาริโต้ ดาวยิงวัย 21 ปี มีสิทธิ์ที่จะต้องชวดโอกาสมาค้าแข้งกับทีม “ปีศาจแดง” เนื่องจากว่า ติดปัญหาเรื่องใบอนุญาตทำงานที่ประเทศอังกฤษ หรือเวิร์คเพอร์มิต
แมนฯ ยูไนเต็ด นั้น ได้บรรลุข้อตกลงในการคว้าตัว “ชิชาริโต้” มาร่วมทัพ จาก ชีวาส กัวลาดาฮาร่า ได้ เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว แต่จากกฎของ กระทรวงมหาดไทย ประเทศอังกฤษ นั้น ได้ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า

นักเตะที่มาจากประเทศนอกอียู นั้น ต้องมีสถิติในการลงเล่นทีมชาติในช่วง 2 ปีหลังสุด อยู่ที่ 75 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะได้ใบอนุญาตทำงาน ซึ่งทาง เฮอร์นานเดซ นั้น เพิ่งจะติดทีมชาติ เม็กซิโก ไปเพียงแค่ 9 นัดเท่านั้น ซึ่งขัดกับกฎหมายเมืองผู้ดีตั้งเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ทางทีม “ปีศาจแดง” เตรียมที่จะยื่นเรื่องกับทางกระทรวงให้อนุโลม พร้อมยกเหตุผลเรื่องความสามารถอันสุดยอดของดาวยิงรายนี้ มาเป็นเหตุผลหลัก เพื่อนำตัว “ชิชาริโต้” มาค้าแข้งใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ให้ได้ โดยล่าสุดนักเตะรายนี้ก็เพิ่งได้รับโอกาสลงสนามอุ่นเครื่องในเกมที่แพ้ให้ทีมชาติอังกฤษไป 1-3 ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ที่มา http://sport.mthai.com/football/english/30281.html

คลิปMV เพลงบอลโลก Oh Africa world cup 2010 โดย Akon

คลิป เพลงบอลโลก Oh Africa world cup 2010 โดย Akon
Akon นักร้องผิวสีชื่อดังได้รับเกียรติให้เป็นผู้ร้อง เพลงฟุตบอลโลก 2010 เพลง Oh Africa
ที่จะจัดขึ้นที่ แอฟริกา โดยที่มี สีสัน บอลโลก world cup 2010 และทำนองเร็กเก้อยู่ต็มเพลงแถมยังมี นักฟุตบอล ชื่อดังอย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส และ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ดอดมาโผล่ใน MV Oh Africa มืวสิควีดีโอ เพลงบอลโลก เพลงนี้อีกด้วย
Akon ft. Keri Hilson - Oh Africa (Official Video) [HD]

คลิปMV เพลงบอลโลก Oh Africa world cup 2010 โดย Akon
ฟังเพลงบอลโลก Oh Africa world cup 2010 ผู้ร้องโดย Akon

Tags: Akon Oh Africa world cup 2010 คลิป เพลงบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลก
ปี 1930 ครั้งแรก ที่ Uruguay / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 1934 @ Italy / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 1938 @ France / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 1950 @ Brazil ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 1954 @Switzerland / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี1958 @Sweden / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 1962 @Chile / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 1966 @England / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี1970 ที่ เม็กซิโก
adidas Telstar / ลูกฟุตบอลโลก

adidas telstar/ ลูกฟุตบอลโลก
รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี1974 ที่ เยอรมันตะวัตก ( สมัยนั้นยังไม่รวมประเทศ )

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี1978 ที่ อาร์เจนติน่า
Adidas Tango / ลูกฟุตบอลโลก

adidas tango espana / ลูกฟุตบอลโลก
รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 1982 ที่ สเปน

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 1986 ที่เม็กซิโก ( อีกครั้ง )
adidas Aztega / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 1990 ที่ อิตาลี
adidas Etrusco Unico / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 1994 ที่ อเมริกา
adidas Questra / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส
Tricolor / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 2002 ที่ เกาหลีและญึ่ปุ่น
Fevernova / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี 2006 ที่ เยอรมัน
Teamgeist / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลกปี2010 ที่ แอฟริกาใต้
Jubulani / ลูกฟุตบอลโลก

รำลึก..ลูกบอลในตำนานฟุตบอลโลก / ลูกฟุตบอลโลก

ที่มา http://worldcup.tlcthai.com

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทีมที่เข้ารอบ32ทีม ฟุตบอลโลก2010


ทีมที่เข้ารอบ32ทีม ฟุตบอลโลก2010
โซนยุโรป 13 ทีม :

เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ, สเปน, เยอรมนี, เดนมาร์ก, เซอร์เบีย, อิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์, สโลวะเกีย, กรีซ, สโลวีเนีย, โปรตุเกส, ฝรั่งเศส

เนเธอร์แลนด์

ผู้จัดการทีม : เบิร์ต ฟาน มาร์วิจก์ (เนเธอร์แลนด์)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์กลุ่ม 9
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 6 มิ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 9
เข้ารอบติดต่อกัน : 2 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : อันดับ 4 (2002)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 3

อังกฤษ

เฮดโค้ช : ฟาบิโอ คาเปลโล (อิตาลี)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์กลุ่ม 6
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 9 ก.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 13
เข้ารอบติดต่อกัน : 4 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : แชมป์โลก (1966)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 7

สเปน

เฮดโค้ช : บิเซนเต เด บอสเก (สเปน)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์กลุ่ม 5
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 9 ก.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่13
เข้ารอบติดต่อกัน : 9 สมัยติตต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : อันดับ 4 (1950)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับ 2

เยอรมนี

เฮดโค้ช : โจอาคิม เลิฟ (เยอรมนี)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์กลุ่ม 4
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่10 ต.ค.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 17 * (ระหว่างปี 1951-1990 ยังใช้ชื่อเดิมว่า เยอรมนีตะวันตก)
เข้ารอบติดต่อกัน : 15 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : แชมป์โลก (1954,1974, 1990)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับ 5

เดนมาร์ก

เฮดโค้ช : มอร์เตน โอลเซน (เดนมาร์ก)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์กลุ่ม 1
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 10 ต.ค.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 4
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 2002)
ผลงานดีที่สุด : รอบก่อนรองชนะเลิศ​ (1998)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 27

เซอร์เบีย

เฮดโค้ช : ราโดเมียร์ อันติช (เซอร์เบีย)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์กลุ่ม 7
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 10 ต.ค.2009
จำนวน ครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 11* (แข่งขันในชื่อของ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย จากปี 1930-1990, เปลี่ยนชื่อมาเป็น สหพันธ์สาธารัณยูโรสลาเวีย จากปี 1992-1998 , เปลี่ยนชื่อมาเป็น เซอร์เบียและมอนเตเนโก ในปี 2006 และแข่งในนาม เซอร์เบีย ครั้งแรก)
เข้ารอบติดต่อกัน : 2 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : อันดับ 4 (1930, 1962)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 20

อิตาลี

เฮดโค้ช : มาร์เชโล ลิปปี (อิตาลี)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์กลุ่ม 8
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 10 ต.ค.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 17
เข้ารอบติดต่อกัน : 13 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : แชมป์โลก (1934, 1938, 1982, 2006)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 4

สวิตเซอร์แลนด์

เฮดโค้ช : อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด (เยอรมนี)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์กลุ่ม 2
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 14 ต.ค.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 9
เข้ารอบติดต่อกัน : 2 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : รอบก่อนรองชนะเลิศ (1934, 1938, 1954)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 13

สโลวะเกีย

เฮดโค้ช : วาลาดิเมียร์ ไวสส์ (สโลวะเกีย)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์กลุ่ม 3
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 14 ต.ค.2009
จำนวนที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 9* (แข่งขันในชื่อของ เชคโกสโลวาเกีย จากปี 1934-1990, แข่งในนาม สโลวะเกีย ครั้งแรก)
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 1990)
ผลงานดีที่สุด : รองแชมป์โลก (1934, 1962)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 33

กรีซ

เฮดโค้ช : อ็อตโต เรห์ฮาเกล (เยอรมนี)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : ผู้ชนะการเพลย์ออฟ
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 18 พ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 2
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 1994)
ผลงานดีที่สุด : รอบแบ่งกลุ่ม (1994)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 16

สโลวีเนีย

เฮดโค้ช : มาตยาซ เคค (สโลวีเนีย)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : ผู้ชนะการเพลย์ออฟ
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 18 พ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 2
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 2002)
ผลงานดีที่สุด : รอบแบ่งกลุ่ม (2002)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 49

โปรตุเกส

เฮดโค้ช : คาร์รอส กีรอส (โปรตุเกส)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : ผู้ชนะการเพลย์ออฟ
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 18 พ.ย.2009
จำนวนที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 5
เข้ารอบติดต่อกัน : 3 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : อันดับ 3 (1966)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 10

ฝรั่งเศส

เฮดโค้ช : โรม็องด์ โดเมเน็ค (ฝรั่งเศส)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : ผู้ชนะการเพลย์ออฟ
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 18 พ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 13
เข้ารอบติดต่อกัน : 4 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : แชมป์โลก (1998)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 9

โซนแอฟริกา 6 ทีม :

แอฟริกาใต้ (เจ้าภาพ), กานา, ไอวอรีโคสต์, ไนจีเรีย, แคเมอรูน, แอลจีเรีย

แอฟริกาใต้

เฮดโค้ช : คาร์ลอส อัลแบร์โต แปร์ไรรา (บราซิล)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : เจ้าภาพ
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 15 พ.ค.2004
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 3
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 2002)
ผลงานดีที่สุด : รอบแบ่งกลุ่ม (1998, 2002)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 85

กานา

เฮดโค้ช : มิโลวาน ราเยวัค (เซอร์เบีย)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์รอบสาม กลุ่ม ดี
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 6 ก.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 2
เข้ารอบติดต่อกัน : 2 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : รอบ 16 ทีมสุดท้าย (2006)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 38

ไอวอรีโคสต์

เฮดโค้ช : วาฮิด ฮาลิลโฮดซิซ (บอสเนียฯ)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์รอบสาม กลุ่ม อี
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 10 พ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 2
เข้ารอบติดต่อกัน : 2 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : รอบแบ่งกลุ่ม (2006)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 19

ไนจีเรีย

เฮดโค้ช : ไชบู เอโมดู (ไนจีเรีย)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์รอบสาม กลุ่ม บี
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 14 พ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 4
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 2002)
ผลงานดีที่สุด : รอบ 16 ทีมสุดท้าย (1994, 1998)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 32

แคเมอรูน

เฮดโค้ช : ปอล เลอ กูเอ็น (ฝรั่งเศส)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์รอบสาม กลุ่ม เอ
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 14 พ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 6
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 2002)
ผลงานดีที่สุด : รอบก่อนรองชนะเลิศ (1990)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 14

แอลจีเรีย

เฮดโค้ช : ราบาห์ ซาดดาน (แอลจีเรีย)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : ผู้ชนะการเพลย์ออฟ (หลังคว้าแชมป์รอบสาม กลุ่ม ซี ร่วมกับ อียิปต์)
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 18 พ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 3
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 1986)
ผลงานดีที่สุด : รอบแบ่งกลุ่ม (1982, 1986)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 29

โซนเอเชีย/โอเชียเนีย 5 ทีม :

ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, เกาหลีเหนือ, นิวซีแลนด์

ออสเตรเลีย

เฮดโค้ช : พิม เวอร์บีก (เนเธอร์แลนด์)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์รอบสี่ กลุ่ม เอ
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 6 มิ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 3
เข้ารอบติดต่อกัน : 2 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : รอบ 16 ทีมสุดท้าย (2006)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 24

ญี่ปุ่น

เฮดโค้ช : ทาเคชิ โอกะดะ (ญี่ปุ่น)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : รองแชมป์รอบสี่ กลุ่ม เอ
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 6 มิ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 4
เข้ารอบติดต่อกัน : 4 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : รอบ 16 ทีมสุดท้าย (2002)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 40

เกาหลีใต้

เฮดโค้ช : ฮูห์ จุง-โม (เกาหลีใต้)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์รอบสี่ กลุ่ม บี
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 6 มิ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 8
เข้ารอบติดต่อกัน : 7 สมัยติดต่อกัน
ผลงานดีที่สุด : รอบรองชนะเลิศ (2002)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 48

เกาหลีเหนือ

เฮดโค้ช : คิม จอง-ฮัม (เกาหลีใต้)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : รองแชมป์ รอบสี่ กลุ่ม บี
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 6 มิ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 2
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 1966)
ผลงานดีที่สุด : รอบก่อนรองชนะเลิศ (1966)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 91

นิวซีแลนด์

เฮดโค้ช : ริคกี เฮอร์เบิร์ต (นิวซีแลนด์)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : ผู้ชนะการเพลย์ออฟ (โซนออสเตรเลีย กับ โซนเอเชีย)
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 14 พ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 2
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 1982)
ผลงานดีที่สุด : รอบแบ่งกลุ่ม (1982)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 83

โซนคอนคาเคฟ 3 ทีม :

สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก, ฮอนดูรัส

สหรัฐอเมริกา

เฮดโค้ช : บ็อบ แบรดลีย์ (สหรัฐฯ)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์รอบสี่
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 10 ต.ค.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 9
เข้ารอบติดต่อกัน : 6 สมัย
ผลงานดีที่สุด : อันดับ 3 (1930)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 11

เม็กซิโก

เฮดโค้ช : ฮาเวียร์ อกีเร (เม็กซิโก)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : รองแชมป์ รอบสี่
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 10 ต.ค.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 14
เข้ารอบติดต่อกัน : 5 สมัย
ผลงานดีที่สุด : รอบก่อนรองชนะเลิศ (1970, 1986)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 18

ฮอนดูรัส

เฮดโค้ช : ไรนัลโด รูเอดา (โคลอมเบีย)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : อันดับ 3 รอบสี่
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 14 ต.ค.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 2
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย :1982)
ผลงานดีที่สุด : รอบแบ่งกลุ่ม (1982)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 35

โซนอเมริกาใต้ 5 ทีม :

บราซิล, ปารากวัย, ชิลี, อาร์เจนตินา, อุรุกวัย

บราซิล

เฮดโค้ช : คาร์ลอส ดุงกา
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : แชมป์​
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 6 ก.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 19
เข้ารอบติดต่อกัน : 19 สมัย
ผลงานดีที่สุด : แชมป์โลก (1958, 1962, 1970, 1994, 2002)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 1

ชิลี

เฮดโค้ช : มาร์เซโล บิเอลซา (อาร์เจนตินา)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : รองแชมป์
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 10 ต.ค.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 8
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 1998)
ผลงานดีที่สุด : อันดับ 3 (1962)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 17

ปารากวัย

เฮดโค้ช : เกราร์โด มาร์ติโน (อาร์เจนตินา)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : อันดับ 3
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 9 ก.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 8
เข้ารอบติดต่อกัน : 4 สมัย
ผลงานดีที่สุด : รอบ 16 ทีมสุดท้าย (1986, 1998, 2002)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 21

อาร์เจนตินา

เฮดโค้ช : ดีเอโก มาราโดนา (อาร์เจนตินา)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : อันดับ 4
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 14 ต.ค.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 15
เข้ารอบติดต่อกัน : 10 สมัย
ผลงานดีที่สุด : แชมป์โลก (1978, 1986)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 6

อุรุกวัย

เฮดโค้ช : ออสการ์ ตาบาเรซ​ (อุรุกวัย)
ผ่านเข้ารอบในฐานะ : ผู้ชนะการเพลย์ออฟ (โซนคอนคาเคฟ กับ โซนอเมริกาใต้)
วันที่ผ่านเข้ารอบ : วันที่ 18 พ.ย.2009
จำนวนครั้งที่ผ่านเข้ารอบ : ครั้งที่ 11
เข้ารอบติดต่อกัน : 1 สมัย (ครั้งสุดท้าย : 2002)
ผลงานดีที่สุด : แชมป์โลก (1930, 1950)
อันดับฟีฟ่าปัจจุบัน : อันดับที่ 25

credit : www.thairath.co.th

http://news.thaibizcenter.com

Tags: กรีซ ทีมที่เข้ารอบ32ทีม ฝรั่งเศส ฟุตบอลโลก2010 สวิตเซอร์แลนด์ สเปน สโลวะเกีย สโลวีเนีย อังกฤษ อิตาลี เซอร์เบีย เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี แอฟริกาใต้ โปรตุเกส

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก เยอรมนีตะวันตก1974 กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ของอินทรีเหล็ก

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก เยอรมนีตะวันตก1974 กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ของอินทรีเหล็ก [ทีมชาติเยอรมันตะวันตก (West Germany) คว้าแชมป์โลก ปี 1974]
ก่อนที่เทศกาลฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จะระเบิดศึกขึ้นมา วันนี้ พวกเราเหล่าคอลูกหนัง มาร่วมกันย้อนรอยดูจุดกำเนิดของศึก เวิล์ด คัพ ตั้งแต่ ครั้งแรก – ปัจจุบัน เป็นการอุ่นเครื่องกันก่อนเลย

การแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 1974 ถูกจัดขึ้นในทวีปยุโรป โดยครั้งนี้เป็นหน้าที่ของประเทศเยอรมันตะวันตก แม้ว่า ถ้วยแชมป์โลกจะกลายเป็นของทีม “อินทรีเหล็ก” แต่ว่า ทีมชาติที่กลายเป็นทีมที่น่าจดจำของเหล่าแฟนบอล กลายเป็น “อัศวินสีส้ม” ฮอลแลนด์ ที่นำระบบโททัลฟุตบอลมาใช้ในเวลานั้น พร้อมทั้งมีนักเตะเทวดา โยฮัน ครัฟฟ์ เป็นผู้นำทัพ พร้อมกับประกาศศักดา ด้วยการ ถล่ม อาร์เจนตินา 4-0 และ เชือด บราซิล 2-0 แต่ในนัดชิงชนะเลิศนั้น เหมือนสวรรค์แกล้ง เมื่อต้องมาเจอทีเด็ดของ “ไอ้ลูกระเบิด” แกร์ด มุลเลอร์ ฮีโร่ของทัพเยอรมันตะวันตก จนต้องพ่ายแพ้ไป

ส่วน “อินทรีเหล็ก” เยอรมนีตะวันตกชุดนี้ นำทีมมาโดย “ไกเซอร์” ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ ซึ่งแฟนบอลก็ได้ชมการแข่งขันกันมากขึ้น เพราะ ในศึกเวิล์ด คัพ ครั้งที่ 10 นั้นมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์สี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่า ในเรื่องระบบการแข่งขันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อ ในรอบ 2 แทนที่จะมีการเล่นแบบน็อคเอาท์เหมือนเดิม ก็เปลี่ยนเป็นการแบ่งกลุ่มอีก 2 กลุ่ม และ ต้องลงแข่งแบบพบกันหมด ซึ่งจะเอาทีมแชมป์ของแต่ละกลุ่ม มาเล่นนัดชิงชนะเลิศกัน

สิ่งที่เปลี่ยนแปลง สำหรับ ฟุตบอลโลก เยอรมนีตะวันตก 1974 คือ ถ้วยแชมป์ที่ถูกเปลี่ยนมาเป็น ถ้วยเวิล์ด คัพ ใบที่ใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ เนื่องจาก ถ้วยชูลส์ ริเมต์ นั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ บราซิล ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้วยใบใหม่นี้ออกแบบโดย ซิลวิโอ กัซซานิกา รวมทั้งประธานฟีฟ่า ก็เปลี่ยนมาเป็น โจฮัว ฮาเวลานจ์ ชาวบราซิล ที่เข้ามาทำหน้าที่แทน เซอร์ สแตนลีย์ รุส ชาวอังกฤษ
การแข่งขันรอบคัดเลือกมีหลายประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันมากเป็นประวัติการณ์ ถึง 98 ชาติ และ ก็มีทีมชาติน้องใหม่ ในตอนนั้นที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย อย่าง เยอรมนีตะวันออก, เฮติ, ออสเตรเลีย และ ซาอีร์ แต่ชาติยักษ์ใหญ่อย่าง ฮังการี, สเปน, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ นั้น ต่างนัดกันตกรอบคัดเลือกไปกันหมด

เยอรมนีตะวันตก 1974 ทีม “อินทรีเหล็ก” จัดว่า เป็นทีมเต็งแชมป์อย่างชัดเจน เมื่อรอบแรก เฉือน ชิลี 1-0 ต่อจากนั้น ชนะ ออสเตรีย 3-0 แต่เกมรอบแรก นัดสุดท้าย กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริงเมื่อ ปราชัยให้กับ เยอรมนีตะวันออก 0-1 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ ก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีม รวมทั้ง เฮลมุท เชิน กุนซือเยอรมันตะวันตก จัดการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นตัวจริง และ แผนการเล่นของทีมไป ขณะที่ “ฮัศวินสีส้ม” ฮอลแลนด์ นั้นนอกจาก โยฮัน ครัฟฟ์ แล้วก็ยังมีดาวเด่น อย่าง โยฮัน นีสเกน, จอนนี เรป และ ร็อบ เรนเซนบริงค์ ที่ช่วยให้ ฮอลแลนด์ ทะลุผ่านการแข่งขันบอลโลก ในรอบแรกได้อย่างสบายๆ และ ในการแบ่งกลุ่มรอบสอง ฟอร์มการเล่นของขุนพลดัตช์ ยังร้อนแรงต่อเนื่อง เมื่อ เอาชนะ อาร์เจนตินา กับ บราซิล ได้แบบไม่ลำบากมากนัก รวมทั้ง ชนะ เยอรมนีตะวันออก 2-0 ด้วยการเล่นระบบโททัล ฟุตบอล ที่สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม เคยนำมาใช้ก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตาม ชาติที่น่าสนใจในบอลโลก 1974 ครั้งนั้น คือ ทีมชาติโปแลนด์ ที่คว้าอันดับ 3 ไปครอง เมื่อมีแข้งซูเปอร์สตาร์ อย่าง กิซเรกอร์ซ ลาโต ที่ซิวตำแหน่งดาวยิงสูงสุดของศึกฟุตบอลโลก ครั้งที่ 10ไปด้วยการถล่มประตูถึง 7 ลูก ทว่า โปแลนด์ ก็ไม่สามารถหยุด ความเก่งกาจของ ทีมเยอรมนีตะวันตก ได้ในการพบกันรอบสอง

ส่วนเกมในนัดชิงชนะเลิศ ทีมฮอลแลนด์ พังประตูออกนำไป ก่อนหลังจากที่ โยฮัน ครัฟฟ์ โดนดึงล้มในเขตโทษ และ โยฮัน นีสเกน เป็นคนสังหารเข้าไป แต่เมื่อครบ 90 นาที กลับกลายเป็น “อินทรีเหล็ก” ที่ได้ พอล ไบรท์เนอร์ กับ แกร์ด มุลเลอร์ ช่วยกันยิงแซง 2-1 ผงาดคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2

เกร็ดน่ารู้ กับ ศึกฟุตบอลโลก เยอรมนีตะวันตก 1974 ชัยชนะของเยอรมนีตะวันออก ที่มีต่อคู่อริทางการเมืองอย่าง เยอรมนีตะวันตก นั้นเป็นชัยชนะที่ได้มาโดยที่ ทั้งสองทีมเปิดเกมเข้าใส่กัน แม้ว่าทั้งสองทีมจะผ่านรอบแรกไปแล้วก็ตาม แต่ก็กลับกลายเป็นผลดีกับ เยอรมนีตะวันตก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแผนการเล่นของทีมไปจนได้แชมป์โลก มาครอง แต่กว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ ออกมาอธิบายถึงความพ่ายแพ้กับแฟนบอลที่ไม่พอใจทางทีวีเลยทีเดียว ซึ่งเกมดังกล่าวนั้นก็มีชื่อว่า “วอนเดอร์ ออฟ บอร์น” สกอตแลนด์เป็นชาติที่ตกรอบแรกทุกครั้งที่ได้ไปเล่นในรอบสุดท้าย แต่ในปี 1974 นั้นถือว่า เป็นศึกที่ทีม “วิสกี้” ใกล้เคียงกับการเข้ารอบมากที่สุด เมื่อชนะ 1 เสมอ 2 ในรอบแรก แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ ทีมได้เข้ารอบอยู่ดี เนื่องจากตอนนั้นยังใช้การคิดคะแนนแบบชนะได้ 2 คะแนน
ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก เยอรมนีตะวันตก1974 กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ของอินทรีเหล็ก
ที่มา http://sport.mthai.com/write-sport-mthai/25004.html

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก เม็กซิโก1986 หัตถ์พระเจ้ากับแชมป์โลกสมัยที่2ของฟ้า-ขาว

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก เม็กซิโก1986 หัตถ์พระเจ้ากับแชมป์โลกสมัยที่2ของฟ้า-ขาว ก่อนที่เทศกาลฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จะระเบิดศึกขึ้นมา วันนี้ พวกเราเหล่าคอลูกหนัง มาร่วมกันย้อนรอยดูจุดกำเนิดของศึก เวิล์ด คัพ ตั้งแต่ ครั้งแรก – ปัจจุบัน เป็นการอุ่นเครื่องกันก่อนเลย

การแข่งขันศึกฟุตบอลโลก เม็กซิโก 1986 ถือว่าเป็นครั้งที่ 13 ประเทศเม็กซิโก ถือว่า ส้มหล่นอย่างมากเมื่อได้เป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมอันยิ่งใหญ่ ครั้งที่ 13 หลังจากที่ประเทศโคลัมเบีย ประกาศว่า ไม่สามารถจัดการแข่งขันได้ในปี 1983 ทำให้เม็กซิโก เป็นชาติแรกที่ได้เป็นเจ้าภาพ 2 ครั้ง แต่กว่า จะจัดการแข่งขันได้สำเร็จนั้น ถือว่ามีอุปสรรคเหมือนกัน เพราะเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งโชคดีที่ไม่กระทบกระเทือนกับการเตรียมงานมากนัก แต่ก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปร่วม 2 หมื่นคน ทว่า ฟุตบอลโลก 1986 คงไม่มีผู้เล่นคนใดเด่นไปกว่า ดิเอโก มาราโดนา ดาวยิงทีมชาติอาร์เจนติน่า ได้อีกแล้ว
[ภาพจังหวะ "หัตถ์พระเจ้า" ของ มาราโดนา]
เม็กซิโก 1986 ก็มีการแข่งขันที่น่าจดจำอยู่พอควร ซึ่งหลายๆคนมองว่ามันเป็นเกมที่ดีที่สุดของฟุตบอลโลก เลยก็ว่าได้ คือ เกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ บราซิล ปะทะกับ ฝรั่งเศส รวมถึงรอบรองชนะเลิศของ เยอรมนีตะวันตก กับ ฝรั่งเศส และ “หัตถ์พระเจ้า” ของ มาราโดนา ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายของอาร์เจนตินา กับ อังกฤษ ที่ปัจจุบันนี้ เหล่าแฟนบอลยังคงต้องกล่าวถึง
ในเกมระหว่าง “ฟ้า-ขาว” อาร์เจนตินา กับ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ดิเอโก้ มาราโดนา ได้มีชื่ออยู่บนสกอร์บอร์ดว่าเป็นคนทำ 2 ประตู ให้ “ฟ้า-ขาว” เบียดชนะไป 2-1 แต่หนึ่งในนั้นเป็นประตูที่เรียกว่า “หัตถ์พระเจ้า” เนื่องจาก เขาใช้มือชกบอลเข้าประตูไป แต่ผู้ตัดสินนั้นผิดพลาดตัดสินให้เป็นประตูจึงเกิดตำนานที่ชื่อว่า “แฮนด์ ออฟ ก็อด” ขึ้นมา หลังจากนั้นทัพอาร์เจนไตน์ ก็ทะลุผ่าน เบลเยียม ก่อนที่จะได้แชมป์โลก ด้วยการเอาชนะ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนีตะวันตก 3-2 ต่อหน้าผู้ชม 115,000 คน ในสนามอัซเตกา สเตเดียม

เวิล์ด คัพ 1986 ครั้งนี้ ยังมีชาติที่เข้าร่วมถึง 24 ทีม ที่ร่วมการแข่งขันในรอบสุดท้ายเหมือนกับที่สเปน แต่ในรอบ 2 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อใช้วิธีจับคู่เตะน็อคเอาท์ในรอบ 16 ทีม สุดท้ายไปเลย ดังนั้นทีมอันดับ 3 ของบางกลุ่มก็ยังมีโอกาสที่ได้เข้ารอบ และ ก็มีชาติที่เข้ามาสร้างสีสันขึ้นมาคือ โมร็อกโก ที่เป็นตัวแทนจากทวีปแอฟริกา ที่สามารถผ่านเข้าถึงรอบที่สอง
[ดิเอโก้ มาราโดนา / Diego Maradona]
ขุนพล “ตราไก่” ฝรั่งเศส ยังเป็นชาติที่แฟนบอลให้การติดตามกับการเล่นบอลที่สวยงาม ที่นำทีมโดยสี่ขุนพล มิเชล พลาตินี, อแลง ชิเรสส์, ฌอน ติกานา และ หลุยส์ แฟร์น็องเดซ ซึ่ง ฝรั่งเศส ชุดนี้ก็ประกาศว่า ได้ลุ้นถึงแชมป์ด้วยการบดเอาชนะ อิตาลี 2-0 ในรอบ 2 และ มาชนะ “แซมบ้า” บราซิล ในการดวลจุดโทษของรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงดวงดาวเมื่อต้องปราชัยต่อ เยอรมนีตะวันตก 0-2 ในรอบสี่ทีมสุดท้าย

ทางด้าน “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา นั้นผ่าน เบลเยียม ในรอบรองชนะเลิศ 2-0 มาถึงเกมนัดชิงชนะเลิศ นั้นถือว่าเป็นนัดที่ยอดเยี่ยมอีกเกมเพราะมีการทำประตูกันถึง 5 ประตู โดยทางฟ้าขาวนั้นออกนำก่อนถึง 2-0 แต่ อินทรีเหล็ก ก็มาตามตีเสมอได้ก่อนที่ “เสือเตี้ย” ดิเอโก้ มาราโดนา จะใช้ทีเด็ดของตัวเองแทงบอลให้ โฮเซ บูร์รูชากา ยิงประตูตัดสินก่อนหมดเวลา 7 นาที ส่งให้ อาร์เจนตินา ครองแชมป์โลกสมัยที่ 2 ไปครอง

เกร็ดน่ารู้กับเม็กซิโก 1986 : เมื่อ 4 ปี ก่อนหน้านี้ ฝรั่งเศส ก็เพิ่งแพ้ให้กับ เยอรมนีตะวันตก ในการดวลจุดโทษรอบรองชนะเลิศ และในฟุตบอลโลก ที่เม็กซิโก ทัพ “ตราไก่” ก็ต้องปราชัยให้กับ “อินทรีเหล็ก” อีกครั้ง แต่คราวนี้ เยอรมนีตะวันตก มี อันเดรียส์ เบรห์เม กับ รูดี โฟลเลอร์ ทำคนละประตูให้ทีมชนะไป 2-0

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก เม็กซิโก1986 หัตถ์พระเจ้ากับแชมป์โลกสมัยที่2ของฟ้า-ขาว
ที่มา http://sport.mthai.com/write-sport-mthai/26930.html

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก อิตาลี1990 อินทรีเหล็กกับแชมป์สมัยที่3 แข็งแกร่งเกินที่ใครจะหยุดได้

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก อิตาลี1990 อินทรีเหล็กกับแชมป์สมัยที่3 แข็งแกร่งเกินที่ใครจะหยุดได้ ก่อนที่เทศกาลฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จะระเบิดศึกขึ้นมา วันนี้ พวกเราเหล่าคอลูกหนัง มาร่วมกันย้อนรอยดูจุดกำเนิดของศึก เวิล์ด คัพ ตั้งแต่ ครั้งแรก – ปัจจุบัน เป็นการอุ่นเครื่องกันก่อนเลย

ศึกฟุตบอลโลก ปี 1990 ได้บังเกิดขึ้นที่ประเทศอิตาลี หลังจากที่พลาดหวังมาในการชิงชนะเลิศ 2 ครั้ง ติดต่อกันสำหรับทีมชาติ “อินทรีเหล็ก”เยอรมนีตะวันตก มาถึงคราวนี้ขุนพล “อินทรีเหล็ก” ได้ก้าวครองแชมป์สมัยที่ 3 เป็นที่เรียบร้อย แต่ทว่าการแข่งขันที่ อิตาลี 1990 นั้นกลับมีเรื่องที่น่าผิดหวัง หลังจากแฟนบอลทั่วโลกตั้งต่รอคอยมาถึง 4 ปี เมื่อ หลายชาติเล่นกันแบบเน้นเกมรับเป็นหลัก จึงทำให้หลายคู่ที่ต้องตัดสินผลแพ้-ชนะกันด้วยการดวลจุดโทษ
[ทีมชาติเยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3]
โดยเฉพาะ เกมนัดชิงชนะเลิศ ที่แม้ว่าจะไม่ต้องดวลจุดโทษตัดสิน แต่ทีมเยอรมนีตะวันตก ต้องใช้ลูกจุดโทษของ อันเดรียส์ เบรห์เม่ เป็นการตัดสินในการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 3 มาครอง และ “ฟ้า-ขาว” อาร์เจนตินา ผู้ปราชัยในนัดชิงฯ กลับกลายเป็นชาติแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก ที่ไม่สามารถทำประตูได้ ในนัดชิงชนะเลิศ รวมทั้งมีผู้เล่นถูกไล่ออกจากสนามถึง 2 คน ด้วยกัน และทั้งสองทีมต่างก็ผ่านรอบรองชนะเลิศมาด้วยการยิงจุดโทษเมื่อ อาร์เจนตินานั้นผ่านอิตาลีเจ้าภาพ และเยอรมนี นั้นผ่าน อังกฤษมา

แต่ทว่า ทีมจอมเซอร์ไพรส์แห่งเวิล์ด คัพ 1990 นั้นเป็นของ “หมอผี” แคเมอรูน ที่สามารถทะลุถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย และ คอสตาริกา ที่เข้ารอบ 16 ทีม สุดท้ายได้ รวมทั้งมี โรเจอร์ มิลลา ดาวยิงของทัพ “หมอผี” ที่ติดทีมชาติมาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แม้ว่าจะมีอายุปาเข้าไป 38 ปี แล้วก็ตาม นอกจาก มิลลา ที่เป็นที่จดจำจากการเป็นนักเตะที่แก่ที่สุดที่ทำประตูในรอบสุดท้ายด้วยอายุ 38 ปี กับอีก 20 วันแล้ว นักเตะคนอื่นๆ ที่เซอร์ไพรส์ขึ้นมาก็ยังมี ซัลวาตอเร สคิลลาชี และ แซร์จิโอ กอยโกเชีย อีก 2 คน

โดยที่เจ้า “โตโต้” ซัลวาตอเร สคิลลาชี ผู้เล่นของ “อัซซูรี่” อิตาลี นั้นโผล่มาเป็นดาวยิงสูงสุดของทัวร์นาเม้นท์นี้ จากการพังประตูไป 6 ลูกได้อย่างเหลือเชื่อเพราะว่า ก่อนหน้าในการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย สคิลลาชี เพิ่งจะลงเล่นในนามทีมชาติได้ไม่กี่เกม และ ก็มาลุยบอลโลก ด้วยการเป็นตัวสำรอง แต่สุดท้ายก็ระเบิดฟอร์มจนเกือบพาทีมเข้าชิงชนะเลิศได้
[โลโก้ของการแข่งขันศึกเวิล์ด คัพ 1990 ที่ประเทศอิตาลี]
ส่วน แซร์จิโอ กอยโกเชีย นายทวารของทีม “ฟ้า-ขาว” ก็ทำผลงานได้อย่างเหลือเชื่อ เมื่อ เนรี ปุมปิโด โกลมือ 1 เกิดบาดเจ็บในเกมนัดเปิดสนาม กับ แคเมอรูน และ เจ้า “กอยโกเชีย” ได้ลงเล่นแทน 7 นัด แต่เสียเพียงแค่ 2 ประตู เท่านั้น โดยในรอบรองชนะเลิศที่ทั้งสองคนมาเจอกันเอง แม้ว่า สคิลลาชี จะยิงได้ 1 ประตู แต่ อาร์เจนตินา ก็ได้ เคลาดิโอ คานิกเกีย ที่จับคู่กับ ดิเอโก มาราโดนา พาชาวอาร์เจนไตน์คว่ำ “แซมบ้า” บราซิล ด้วยการมายิงตีเสมอให้ทีม ก่อนกำชัยชนะ ด้วยการดวลลูกจุดโทษ ซึ่งก่อนหน้านี้ กอยโกเชีย ก็ช่วยเซฟประตูให้ “ฟ้า-ขาว” ผ่าน ยูโกสลาเวีย ในการดวลจุดโทษมาแล้วในรอบ 2

ขณะที่เส้นทางของทีมแชมป์โลกนั้น เริ่มต้นมาได้อย่างสวยหรู เมื่อ ไล่ต้อน ยูโกสลาเวีย 4-1, ถลุง ยูเออี 5-1 และ เสมอ โคลัมเบีย 1-1 ในรอบแรก ก่อนที่รอบ 2 เอาชนะ ฮอลแลนด์ 2-1 ตามด้วยการบดเอาชนะ เช็กโกสโลวะเกีย 1-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และ ยิงลูกจุดโทษชนะ อังกฤษ 4-3 ในรอบรองชนะเลิศ หลังจากที่ในเวลาเสมอกัน 1-1

ในนัดชิงชนะเลิศแม้ว่า “อินทรีเหล็ก” เยอรมนีตะวันตก จะต้องเอาชนะด้วยการเป่าจุดโทษของผู้ตัดสินชาวเม็กซิกัน แต่เรื่องของรูปเกมนั้นทีม”อินทรีเหล็ก” ทำได้เหนือกว่ามาก จากการที่มีนักเตะชั้นยอดในทีมมากมายไม่ว่าจะเป็น โลธาร์ มัทเธอุส, อันเดรียส์ เบรห์เม่, รูดี้ โฟลเลอร์, เจอร์เกน คลิ้นส์มันน์, เจอร์เกน โคห์เลอร์ และโธมัส เฮสเลอร์ รวมไปถึงมี ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ เป็นกุนซือชั้นดี จึงจัดว่า เป็นปีที่เหมาะสมที่สุดที่ เยอรมันตะวันตก จะได้แชมป์โลก 3 สมัย เป็นทีมที่ 3 ต่อจาก “แซมบ้า” บราซิล และ “อัซซูรี่” อิตาลี

เกร็ดน่ารู้กับอิตาลี 1990 : “โตโต้” ซัลวาตอเร สคิลลาชี เจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำ ในเวิล์ด คัพ 1990 ถือว่า แจ้งเกิดในช่วงข้ามคืน เพราะว่า ก่อนหน้าที่จะทำการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย กองหน้าของ “ม้าลาย” ยูเวนตุส รายนี้ เพิ่งจะลงเล่นให้กับทีมชาติอิตาลี เพียงแค่นัดเดียว เท่านั้น แต่ทว่า ในเกมนัดแรกที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมา ปะทะกับ ออสเตรีย ก็สามารถยิงประตูชัยให้ทีมชนะไป 1-0 จนได้
ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก อิตาลี1990
ที่มา http://sport.mthai.com/write-sport-mthai/27566.html

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก สหรัฐฯ1994 เซเลเซาครองโลกสมัยที่4

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก สหรัฐฯ1994 เซเลเซาครองโลกสมัยที่4 ก่อนที่เทศกาลฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จะระเบิดศึกขึ้นมา วันนี้ พวกเราเหล่าคอลูกหนัง มาร่วมกันย้อนรอยดูจุดกำเนิดของศึก เวิล์ด คัพ ตั้งแต่ ครั้งแรก – ปัจจุบัน เป็นการอุ่นเครื่องกันก่อนเลย

การแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในครั้งนี้ถือว่า เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ไปลงแข่งในดินแดนที่เป็นกลางระหว่าง ยุโรป กับ อเมริกาใต้ และเกมการแข่งขันที่ออกมาก็จัดว่าเป็นฟุตบอลโลกที่ดีจะติดอยู่ก็เพียงแค่ ในนัดชิงชนะเลิศที่ บราซิล กับ อิตาลี เล่นกันโดยไม่มีประตูเกิดขึ้นเท่านั้น แต่ในเกมอื่นนั้นมีทั้งการถล่มประตูกัน ความตื่นเต้น น้ำตา และ เรื่องเซอร์ไพรส์ ที่เป็นบทละครได้ลงตัวเหลือเกิน
[ทีมชาติบราซิล (ฺฺBrazil) เป็นทีมแรกที่ซิวแชมป์สมัยที่4]
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในฟุตบอลโลก 1994 มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่ชาติบัลแกเรีย ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคว้าชัยชนะในรอบสุดท้าย แต่ทว่าคราวนี้เข้าไปได้ถึงรอบรองชนะเลิศ โดยเฉพาะรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่บดเอาชนะ เยอรมนี ได้ ขณะที่ ดิเอโก มาราโดนา ถูกไล่ออกจากการแข่งขัน หลังจากถูกตรวจพบสารกระตุ้น และ เรื่องน่าเศร้า เนื่องจาก อันเดรส เอสโคบาร์ กองหลังของโคลัมเบีย โดนยิงเสียชีวิตหลังจากที่ทำเข้าประตูตัวเอง และ กลับบ้านเกิดไปได้ไม่กี่วันเท่านั้น

เจ้าภาพ สหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะเป็นทีมเล็กๆ แต่ภายใต้การนำทีมของ โบรา มิลูติโนวิช สามารถผ่านเข้ารอบสองได้ แม้ว่า จะพ่ายบราซิลในรอบต่อมา แต่ถือว่าลงเล่นได้อย่างสูสีสุดๆ โดยบรรดาทีมเต็งของการแข่งขันนั้น “แซมบ้า” จัดเป็นชาติที่เล่นได้ยอดเยี่ยมที่สุด และก็สมควรกับการได้ครองแชมป์โลกสมัยที่ 4 เป็นชาติแรกของโลก
[สไตรเกอร์ (Striker) มัสคอตของการแข่งขันศึกเวิล์ด คัพ1994 ที่ประเทศอเมริกา]
การแข่งขันครั้งนี้นั้นเริ่มพังสถิติกันมาตั้งแต่การแข่งขันในรอบคัดเลือก เมื่อมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันมากเป็นประวัติการณ์ถึง 147 ประเทศ แต่ทีมจากยุโรปหลายทีมก็ไม่ได้เล่นในทัวร์นาเม้นท์นี้ทั้ง “สิงโตคำราม” อังกฤษ, เดนมาร์ก แชมป์ยุโรปปี 1992, โปรตุเกส, โปแลนด์ รวมทั้ง ฝรั่งเศส ที่ตกรอบเพราะแพ้ บัลแกเรีย ในเกมรอบคัดเลือกนัดสุดท้าย และ ยูโกสลาเวีย ที่ติดปัญหาสงครามกลางเมือง

สถิติอีกอย่างที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องของผู้ชมที่มีผู้เข้าชมเกมในสนามถึง 3,587,538 คน ด้วยกัน เรื่องระบบการแข่งขันยังคงมี 24 ทีม แต่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการคิดคะแนนโดยเป็นครั้งแรกที่ให้ 3 คะแนน กับผู้ชนะไม่เหมือนที่เคยได้แค่ 2 คะแนน เหมือนก่อน

ส่วนชาติม้ามืดของฟุตบอลโลก 1994 ในรอบแรกก็คือ ซาอุดีอาระเบีย จากเอเชียที่เข้ารอบสองในครั้งนี้ได้ รวมทั้ง ซาอิด โอไวรัน ดาวเด่นของทีมยังยิงประตูที่ดีสุดของทัวร์นาเม้นท์นี้เมื่อลากเดี่ยวครึ่งสนามไปยิงเบลเยียม

สำหรับเกมนัดชิงชนะเลิศนั้นเป็น บราซิล ที่เฉือน สวีเดน มา 1-0 ในรอบรองชนะเลิศพบกับ อิตาลี ที่ผ่านบัลแกเรีย มา 2-1 กลับกลายเป็นเกมที่น่าเบื่อเนื่องจากทั้งคู่เน้นในเรื่องของเกมรับแน่นจน เกินไป โรมาริโอ กับ เบเบโต้ ที่ฟอร์มดีมาตลอดก็เล่นไม่ออก ดังนั้นนัดนี้จึงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกที่ ต้องตัดสินแชมป์กันด้วยการยิงลูกโทษตัดสิน
และแล้วก็เป็น โรบี บักโจ้ ที่เล่นดีมาตลอดทั้งทัวร์นาเม้นท์ที่เป็นคนพลาดในการดวลจุดโทษ ทำให้บราซิลได้แชมป์สมัยที่ 4 ไปครอง

เกร็ดน่ารู้กับ สหรัฐฯ 1994 : โรเจอร์ มิลลา ดาวยิงจอมเก๋าของ “หมอผี” แคเมอรูน ถูกบันทึกชื่อเป็นนักเตะที่แก่ที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอล โลกรอบสุดท้ายด้วยอายุ 42 ปี 1 เดือนกับอีก 8 วัน ส่วนนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ก็คือ เปเล่ ที่ยิงประตูในเกมกับ เวลส์ เมื่อปี 1958 ที่สวีเดน เมื่อตอนนั้นเขาเพิ่งอายุได้ 17 ปี กับอีก 239 วัน
ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก สหรัฐฯ1994

ที่มา http://sport.mthai.com/write-sport-mthai/28245.html

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก ฝรั่งเศส1998 ซีดานนำตราไก่คว้าถ้วยเวิล์ดคัพครั้งแรก

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก ฝรั่งเศส1998 ซีดานนำตราไก่คว้าถ้วยเวิล์ดคัพครั้งแรก ก่อนที่เทศกาลฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จะระเบิดศึกขึ้นมา วันนี้ พวกเราเหล่าคอลูกหนัง มาร่วมกันย้อนรอยดูจุดกำเนิดของศึก เวิล์ด คัพ ตั้งแต่ ครั้งแรก – ปัจจุบัน เป็นการอุ่นเครื่องกันก่อนเลย

การแข่งขันฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส หรืออีกชื่อว่า ฟรองซ์ 98 นั้นเองเป็นมหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อทาง ฟีฟ่า ให้มีชาติเข้ารอบสุดท้าย ถึง 32 ทีม และ เพิ่มการแข่งขันขึ้นมาเป็น 64 นัด จากเดิมที่ลงเล่นกันเพียง 52 นัด เมื่อมี 24 ทีม รวมทั้ง ฝรั่งเศส เจ้าภาพยังมีการเปิดสนามแห่งใหม่ คือ สต๊าดเดอ ฟรองซ์ ในกรุงแซงต์ เดอนีย์ ทางตอนเหนือของกรุงปารีส ซึ่งก็เป็นการต้อนรับการเป็นแชมป์โลกสมัยแรกของทัพ “ตราไก่” ที่มาพร้อมกับความสุดยอดของ “ชิซู” ซีเนอดีน ซีดาน จอมทัพเลือดน้ำหอม
[ทีมชาติฝรั่งเศส (ฺฺFrance) ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์โลกครั้งแรก]
ทีม “กระทิงดุ” สเปน ที่ถูกคาดหมายว่าจะทำผลงานได้ดีในศึกฟร้องซ์ 1998 กลับโชว์ผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง เมื่อต่องตกรอบแรก ขณะที่ในกลุ่ม จี ทาง “สิงโตคำราม” อังกฤษ กอดคอ “ผีดิบ” โรมาเนีย ทะลุเข้ารอบต่อไป ด้าน อาร์เจนตินา ก็โชว์ฟอร์มในกลุ่ม เอช ได้ร้อนแรง ชนะทุกนัด โดยไม่เสียประตูแม้แต่ลูกเดียว พร้อมกับการ “บาติโกล์” กาเบรียล บาติสตูต้า ซัดแฮตทริก ได้ในเกมถล่ม จาเมกา 5-0 ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อย่างสวยงาม
ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย มีเกมที่น่าสนใจอยู่ที่เมืองแซงต์ เอเตียน เมื่อ “สิงโตคำราม” อังกฤษ พบกับ “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา และในช่วง 45 นาทีแรก จัดว่าเป็นเกมที่เล่นกันสนุกเอาการเมื่อ กาเบรียล บาติสตูตา ยิงจุดโทษพาทีมอาร์เจนตินา ออกนำไปก่อน ทว่า อลัน เชียเรอร์ ก็มายิงจุดโทษคืนในอีก 4 นาทีต่อมา หลังจากนั้นก็เป็นการลุยเดี่ยวของ ไมเคิล โอเว่น ที่ลากไปยิงให้ทัพผู้ดีขึ้นนำ 2-1 และ มาเสมอกันในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากลูกสูตรของ ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ ที่ไปแอบในกำแพง ซึ่งเป็น 45 นาที ที่เปี่ยมคุณภาพด้วยสกอร์ 2-2 แต่ครึ่งหลังนั้นเกมเปลี่ยนไปหลังจากที่ เดวิด เบ็คแฮม ไปเสียท่าของ ดิเอโก ซิเมโอเน จนถูกใบแดงไล่ออกจากสนามไปแต่ก็ไม่สามารถทำประตูกันได้จนจบ 120 นาที และการตัดสินด้วยการยิงลูกจุดโทษนั้น คาร์ลอส โรอา เซฟลูกยิงของ เดวิด แบ็ตตี ในลูกที่ 5 ทำให้ “ฟ้า-ขาว” อาร์เจนตินา เข้ารอบ พร้อมส่ง “สิงโตคำราม” อังกฤษ กลับบ้านไปก่อน
[ฟุตติกซ์ (Footix) มัสคอตของการแข่งขันศึกฟรองซ์ 1998]
ขณะที่ “ตราไก่” ฝรั่งเศส ผ่านรอบแรกถือว่าไม่มีปัญหา แต่พอถึงรอบสองนั้นต้องใช้เวลา 113 นาที ก่อนที่ โลรองต์ บลองก์ จะยิงประตูโกลเด้นโกล์ให้ “ตราไก่” ได้ ต่อด้วยการไปเสมอกับ อิตาลี แบบน่าแพ้ เพรา ะในเวลาปกติ โรแบร์โต บักโจ้ มีโอกาสยิงชนคาน ดังนั้นจึงต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ และ ลุยจิ ดิ เบียโจ ดันยิงบอลไปชนคานก็เป็นการตัดสินให้ ฝรั่งเศส ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ในรอบรองชนะเลิศทีม “ตราไก่” ต้องมาเจอกับ โครเอเชีย ม้ามือที่ถล่ม เยอรมนี มา 3-0 และ ก็เกือบจะพลิกล็อกได้อีกครั้ง เมื่อ ดาวอร์ ซูเคอร์ ยิงให้ทีมนำก่อน แต่เจ้าถิ่นนั้นมี ลิลิยอง ตูราม กองหลังผิวสีที่พัง 2 ประตู พลิกมาชนะ 2-1

ในวันที่ 12 ก.ค. 1998 วันแห่งความยิ่งใหญ่ของทีมชาติฝรั่งเศส เมื่อ “แซมบ้า” บราซิล มีปัญหาภายในทีม และ ไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะเอาใครลงเล่นระหว่าง โรนัลโด้ ที่เจ็บกับ เอ็ดมุนโด้ แต่สุดท้ายก็เข็นเอา โรนัลโด้ ลงสนาม แต่ทีมไม่ได้ออกมาอบอุ่นร่างกายก่อนการลงสนาม จึงเป็นเรื่องง่ายดายของ ฝรั่งเศส ที่เมื่อรวมกับความยอดเยี่ยมของ ซีเนอดีน ซีดาน ส่งให้ ฝรั่งเศส ได้คว้าถ้วยฟุตบอลโลกมาครองได้สำเร็จ

เกร็ดน่ารู้กับฝรั่งเศส 1998 : ศึกบอลโลก หนนี้ จัดว่าเป็นการแข่งขันที่ประสบความสำเร็จรายการหนึ่ง จากการที่เพิ่มทีมในรอบสุดท้ายมาเป็น 32 ทีม ทำให้ทุกทีมเน้นเรื่องเกมรุกกันมากขึ้น เนื่องจากในรอบแรกอันดับ 3 ของกลุ่มจะไม่มีโอกาสเข้ารอบเหมือนครั้งที่มีแค่ 24 ทีม รวมทั้งศึกแจ้งเกิดของ อาเรียล ออร์เตก้า ของ “ฟ้า-ขาว”อาร์เจนตินา, เธียร์รี อองรี ของ “ตราไก่” ฝรั่งเศส และ ไมเคิล โอเว่น ของ”สิงโตคำราม” อังกฤษ
ย้อนรอย , ฟุตบอลโลก ฝรั่งเศส1998
ที่มา http://sport.mthai.com/write-sport-mthai/28987.html

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น2002 แซมบ้าครองโลกในยุค3อาร์

ย้อนรอย : ฟุตบอลโลก เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น2002 แซมบ้าครองโลกในยุค3อาร์ ยุคบราซิลครองโลก เมื่อซิวแชมป์สมัยที่5 ไปได้ ก่อนที่เทศกาลฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จะระเบิดศึกขึ้นมา วันนี้ พวกเราเหล่าคอลูกหนัง มาร่วมกันย้อนรอยดูจุดกำเนิดของศึก เวิล์ด คัพ ตั้งแต่ ครั้งแรก – ปัจจุบัน เป็นการอุ่นเครื่องกันก่อนเลย

ศึกฟุตบอลโลก 2002 เป็นอีกครั้งที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ เมื่อเป็นหนแรกบนแผ่นดินเอเชียที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และยังเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในวงการลูกหนังของมหาชนชาวเอเซียอย่างเต็มตัว อย่างไรก็ตาม เวิลด์ คัพ 2002 เต็มไปด้วยความน่าประหลาดใจ และ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน นับตั้งแต่นัดเปิดสนามไปจนนัดชิงชนะเลิศ แต่สุดท้ายยังเป็น 2 ยักษ์ใหญ่หน้าเดิมๆ อย่างเยอรมัน และ บราซิล ที่ได้ดวลแข้งแย่งแชมป์โลก ก่อนที่ทีมดังจากอเมริกาใต้ ในยุค “3 อาร์” ที่มี โรนัลโด้, ริวัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ เป็นตัวชูโรง จะครองแชมป์โลก สมัยที่ 5 ได้อีกแล้ว

นัดเปิดสนามบอลโลก ในทวีปเอเซีย กลายเป็นตำนานแห่งการพลิกล็อกครั้งใหญ่ เมื่อทีมน้องใหม่ อย่าง เซเนกัลเอาชนะ “แชมป์เก่า” ฝรั่งเศส ไปแบบช็อกโลก 1-0 แถมยังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง กับพลพรรค “เลส์ เบลอส์” เมื่อไม่อาจเอาชนะคู่แข่งในกลุ่ม เอ ได้เลย เก็บไปได้เพียง 1 แต้ม ตกรอบ แรกไปโดยที่มิอาจยิงประตูคู่แข่งได้เลยแม้แต่ลูกเดียว เท่านั้น

ขณะที่ความผิดหวังอย่างรุนแรงตกเป็นของทีม “ตราไก่” แต่ทัวร์นาเมนต์ที่มหัศจรรย์กลับกลาย เป็นของขุนพล “สิงโตแห่งเตรังก้า” เมื่อเป็นฝ่ายรุกคืบหน้าผ่านเข้าสู่รอบสอง ก่อนที่จะหักปากกาเซียน พลิกเอาชนะสวีเดนไปอีก 2-1 ด้วยประตู “โกลเด้น โกล์” หลังต่อเวลา 120 นาที ยังเสมอกัน 1-1 แต่ก็ ต้องไปพลาดท่าตกรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยประตู “โกลเด้น โกล์” เช่นกัน จากฝีเท้าของตุรกี หลังต่อ เวลา 120 นาที ยังเสมอกัน 0-0 แมตช์พลิกล็อกครั้งใหญ่ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เมื่อ สหรัฐอเมริกา เปิดหัวด้วยการชนะ โปรตุเกส 3-2 แม้ทัพ “ฝอยทอง” จะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาชนะโปแลนด์ 4-0 ก็ตาม แต่ก็มีอันต้องกลับบ้านแต่ไก่โห่ เมื่อต้องมาเจอเจ้าภาพจอมเซอร์ไพรส์ อย่าง เกาหลีใต้ จนพ่ายไปอีก 0-1 กระเด็นตกรอบไปอย่างไม่มีใครคาดคิด
ขณะเดียวกัน กลุ่ม เอฟ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “กลุ่มแห่งความตาย” เมื่อมีทีมอังกฤษ, สวีเดน, อาร์เจนตินา และ ไนจีเรีย มาอยู่ร่วมกัน โดยยังมี นัดล้างตาเกิดขึ้นในเกมคู่ระหว่าง “สิงโตคำราม” กับ “ฟ้า-ขาว” ที่ประเทศญี่ปุ่น เดวิด เบ็คแฮม กัปตันทีมผู้ดี ซึ่งโดนใบแดงในศึก “ฟร้องซ์’ 98″ เกมพ่ายขุนพลอาร์เจนไตน์ในการดวลจุดโทษ ตกรอบ 2 ไปอย่างน่าเจ็บใจนั้น ก็ได้โอกาสลบรอยแค้นด้วยการยิงจุดโทษเป็นประตูชัย 1-0 ให้กับอังกฤษ ก่อนที่ อาร์เจนตินา ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นทีมเต็งแชมป์ก่อนเปิดฉากชิงชัย จะทำได้แค่เสมอ 1-1 กับ ทีม “ฟรีเซ็กซ์” ในนัดสุดท้าย ส่งผลทำให้กลายเป็น “ยักษ์ใหญ่” อีกทีมหนึ่งที่ต้องกลับบ้านก่อนกำหนด

เมื่อดำเนินมาถึงรอบน็อกเอาท์ ผลการแข่งขันที่ไม่คาดฝันก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อ “โสมขาว” เกาหลีใต้ โชว์ทีเด็ดเจ้าภาพร่วม พลิกอัด อิตาลี 2-1 ด้วยประตูทอง “โกลเด้น โกล์” ของ อาห์น จุง-ฮวาน ศูนย์หน้าหน้าหวาน ยิ่งไปกว่านั้น ยังยันเสมอ “กระทิงดุ” สเปน และเฉือนชนะ ด้วยการดวลจุดโทษในรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปได้อีกต่างหาก หลังเสมอกัน 0-0 ในการต่อเวลาพิเศษ อย่างไรก็ตาม แม้ “โสมขาว” จะพลาดแพ้ต่อ “อินทรีเหล็ก” 0-1 ในรอบรองชนะเลิศ ไปในที่สุดก็ตาม แต่ มหาชนชาวเกาหลี พากันออกมาเฉลิมฉลองความสำเร็จเกินคาดของทีมอันเป็นที่รักกันอย่างเนืองแน่นไปทั่วประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นมาตลอดในทุกๆ นัดที่ผ่านมา

ส่วน ญี่ปุ่น “เจ้าภาพร่วมฟุตบอลโลก 2002″ อีกทีม ก็ประสบความสำเร็จพอสมควร ด้วยการเป็นทีมอันดับ 1 ของ กลุ่ม เอช ก่อนที่จะพ่ายตุรกี 0-1 ในรอบสอง โดยขุนพลชาติ “ไก่งวง” นั้น โชว์ฟอร์มน่าประทับใจไปได้ไกลจน ถึงรอบตัดเชือกเลยทีเดียว

รอบตัดเชือก แม้ว่า “ไก่งวง” ตุรกี จะฟอร์มดีแค่ไหนก็มิอาจต้านทานความแข็งแกร่งของบราซิลได้ สำเร็จ โดย โรนัลโด้ มีชื่อเป็นผู้ทำประตูชัยในนัดนี้ ส่วนอีกสายหนึ่ง “อินทรีเหล็ก” เยอรมัน อาศัยความคงเส้นคงวา และ ความเหนียวหนึบของ โอลิเวอร์ คาห์น นายทวารหน้าดุ กรุยทางผ่านเข้ารอบมาเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้ชื่อว่าเป็นทีมเต็งแชมป์ในคราวนี้เลยก็ตาม โดยชนะคู่แข่ง 1-0 มาทุกนัดตั้งแต่รอบ 2 ก่อน ที่จะมาดับความหวังทะลุชิงแชมป์โลกของเกาหลีใต้ไปในที่สุด

และแล้ว “อินทรีเหล็ก” และ “เซเลเซา” ก็โคจรมาพบกันเป็นครั้งแรกในเวิลด์ คัพ 2002 โดย โรนัลโด้ ซึ่งเล่นไม่ออกในนัดชิงดำ เมื่อ 4 ปีก่อน กู้ชื่อเป็นพระเอกตัวจริง ในนัดชิงชนะเลิศบนแผ่นดินแดนเอเซีย พร้อมกับเหมา 2 ประตู ส่ง “แซมบ้า” บราซิล ครองแชมป์โลกสมัยที่ 5 ด้วยชัยชนะ 2-0 แถมยังคว้าตำแหน่งดาว ซัลโวฟุตบอลโลก 2002 ด้วยผลงานการยิงประตูอันสวยหรูถึง 8 ลูก เลยทีเดียว

ที่มา http://sport.mthai.com/write-sport-mthai/29637.html

รายการบล็อกของฉัน