วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วูล์ฟแฮมป์ตัน - เวสต์แฮม [บทวิเคราะห์วิจารณ์]

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แมนฯ ยูไนเต็ด - เวสต์บรอมวิช [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
วูล์ฟแฮมป์ตัน - เวสต์แฮม
สนาม : โมลินิวซ์ กราวน์
เวลา : 21.00 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 6
“หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน มีแค่ 5 แต้มจาก 7 นัด อยู่รองบ๊วยของตาราง เกมนี้ มิค แม็คคาร์ธี หมดสิทธิใช้งาน เควิน ดอยล์ ดาวยิงตัวเก่ง รวมถึง โรนัลด์ ซูบาร์ และ อัดเลเน เกอดิอูรา ที่มีอาการบาดเจ็บ ส่วน สตีเฟน ฮันท์ มีลุ้นประเดิมสนามกับทีม หลังเจ็บเท้าต้องพักยาวมานับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ขณะที่ คาร์ล เฮนรี กัปตันทีม ติดโทษแบนจากการโดนใบแดงในเกมที่แล้วเป็นนัดแรกจากทั้งหมด 3 นัด โดย เดวิด โจนส์ น่าจะได้ลงเล่นแทน โดย 11 ตัวจริงที่คาดประกอบด้วย มาร์คัส ฮานีห์มันน์ เป็นนายทวาร กองหลังประกอบด้วย โจดี แครดด็อค, คริสตอฟ แบร์รา, เควิน โฟลีย์ และ ไมเคิล มานเซียนน์ ส่วนกองกลางมี เดวิด โจนส์, เดวิด เอ็ดเวิร์ดส์, แมทธิว ยาร์วิส และ สตีเวน วอร์ด ส่วนกองหน้าเป็น ซิลแวง อีแบงก์ส-เบล็ค กับ สตีเวน เฟล็ทเชอร์
ด้าน “ขุนค้อน” ทีมเยือน มี 5 แต้มจาก 7 นัดเท่ากัน แต่อยู่อันดับ สุดท้ายเพราะลูกได้เสียเป็นรอง เกมนี้ อัฟราม แกรนท์ กุนซือชาวอิสราเอล ต้องรอเช็กความฟิตของ วาลอน เบห์รามี และ โธมัส ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ 2 กองกลางของทีม โดยรายแรกมีลุ้นลงสนามในเกมนี้ โดย 11 ตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนามของ เวสต์แฮม ประกอบด้วย โรเบิร์ต กรีน เป็นนายทวาร กองหลัง มี แมทธิว อัพสัน, ลาร์ส ยาค็อปเซน, แดนนี แกบบิดอน และ มานูเอล ดา คอสตา ส่วนกองกลางมี สกอตต์ ปาร์คเกอร์, มาร์ค โนเบิล และ คีรอน ดายเออร์ ส่วน 3 ประสานในแนวรุกประกอบด้วย วิคเตอร์ โอบินนา, เฟรเดอริค ปิกิยอนน์ และ คาร์ลตัน โคล
แนวโน้มของเกม - รูปเกมของศึกหนีตายระหว่างทีมบ๊วยกับรองบ๊วย น่าจะออกมาเข้มข้นไม่น้อย เนื่องจากทั้ง 2 ทีมต่างต้องการชัยชนะเป็นอย่างยิ่ง แถมชื่อชั้นของนักเตะยังพอฟัดพอเหวี่ยง ดูแล้วโอกาสที่ทั้งคู่จะเสมอแบ่งกันไปทีมละแต้มมีสูงลิบเลยทีเดียว
สกอร์ที่คาด - วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส เสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-2.

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วูล์ฟแฮมป์ตัน - เวสต์แฮม [บทวิเคราะห์วิจารณ์]
ที่มา เดลินิวส์

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฟูแลม - สเปอร์ [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แมนฯ ยูไนเต็ด - เวสต์บรอมวิช [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
ฟูแลม - สเปอร์
สนาม : คราเวน ค็อตเทจ
เวลา : 21.00 น.
“เจ้าสัวน้อย” มี 9 แต้ม จาก 7 นัด รั้งอันดับ 10 ของตาราง โดยเกมนี้ มาร์ค ฮิวจ์ส กุนซือของทีมต้องเจอปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน ไม่ว่าจะเป็น สตีเฟน เคลลี, ฟิลิปป์ เซนเดรอส และ บ็อบบี ซาโมรา ส่วน มุสซา เดมเบเล ดาวยิงทีมชาติเบลเยียม กลับมาซ้อมได้แล้ว แต่ยังไม่น่าจะพร้อมสำหรับเกมนี้ โดย 11 ตัวจริงที่คาดของ ฟูแลม ประกอบด้วย มาร์ค ชวาร์เซอร์ เฝ้าเสา กองหลัง 4 คนมี จอห์น แพนต์ซิล, อารอน ฮิวจ์ส, เบรเด ฮันเกลันด์ และ คาร์ลอส ซัลซีโด ส่วนมิดฟิลด์มี แดนนี เมอร์ฟี, ดิคสัน เอตูฮู, ไซมอน เดวีส์, คลินต์ เดมป์ซีย์ และ เดเมียน ดัฟฟ์ โดยมี แอนดี จอห์นสัน ที่เพิ่ง หายเจ็บกลับมา ยืนเป็นหัวหอกตัวเป้า
ด้าน “ไก่เดือยทอง” มี 11 แต้มจาก 7 นัด รั้งอันดับ 5 ของตาราง เกมนี้ แฮร์รี เรดแน็ปป์ กุนซือตาปรือมีรายชื่อนักเตะบาดเจ็บยาวเป็นหางว่าว ทีเดียว ไล่มาตั้งแต่ เบอนัวต์ อัสซู-เอก็อตโต, เล็ดลีย์ คิง, อารอน เลนนอน, เจอร์เมน เดโฟ, เจมี โอฮารา, โจนาธาน วูดเกต ส่วนที่ต้องรอเช็กความฟิต ก็มี วิลเลียม กัลลาส, ยูเนส กาบุล และไมเคิล ดอว์สัน โดย 11 ตัวจริง เกมนี้น่าจะยึดจากนัดที่แล้วที่ทีมเปิดรังเฉือน แอสตัน วิลลา 2-1 เป็นหลัก โดยนายทวารเป็น เฮเรลโญ โกเมส กองหลังประกอบด้วย อลัน ฮัตตัน, เซบาส เตียน บาสซง, เวดราน ชอร์ลูกา และ แกเร็ธ เบล แผงกลางมี ทอม ฮัดเดิล สตัน, เจอร์เมน จีนัส, ลูกา โมดริช, ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท โดยมี ปีเตอร์ เคราช์ และ โรมัน พาฟลิวเชนโก เป็นคู่กองหน้า
แนวโน้มของเกม - ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมดาร์บีแมตช์แห่งกรุงลอนดอน ย่อมไม่มีใครย่อมง่าย ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นรูปเกมคู่นี้น่าจะเปิดเกมบุกแลกกันอย่างสนุก แต่ “ไก่เดือยทอง” มีทีเด็ดทีขาดที่ดีกว่า ซึ่งน่าจะช่วยให้พวกเขาเบียดคว้า 3 แต้มกลับบ้านได้สำเร็จ
สกอร์ที่คาด - ฟูแลม แพ้ ทอตแนม ฮอตสเปอร์ 1-2

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฟูแลม - สเปอร์ [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
ที่มา เดลินิวส์

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษโบลตัน - สโตค ซิตี [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แมนฯ ยูไนเต็ด - เวสต์บรอมวิช [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
โบลตัน - สโตค ซิตี
สนาม : รีบอค สเตเดี้ยม
เวลา : 21.00 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 2
“เดอะ ทรอตเตอร์ส” เจ้าถิ่น มี 8 คะแนนจาก 7 นัด อยู่ที่ 12 ของตาราง เกมนี้ โอเวน คอยล์ กุนซือของทีม จะยังคงหมดสิทธิใช้งาน ริคาร์โด การ์ดเนอร์, เจย์ ลอยด์ ซามูเอล, แอนดี โอไบรอัน, โจอี โอไบรอัน และ ฌอน เดวิส ที่ยังบาดเจ็บทั้งหมด ส่วนคนอื่น ๆ พร้อมลงทำศึกเต็มที่ โดย ยุสซี ยัสเคไลเนน จะลงเฝ้าเสาเช่นเดิม ส่วนกองหลัง 4 คนประกอบด้วย เกรตาร์ สไตน์สัน, แซต ไนต์, แกรี เคฮิลล์ และ พอล โรบินสัน ส่วนแดนกลางมี ฟาบริซ มูอัมบา คุมตรงกลางคู่กับ สจ๊วร์ต โฮลเดน โดย มาร์ติน เปตรอฟ กับ ลี ชุง ยอง ขึ้นเกมริมเส้น คู่หัวหอกเป็น โยฮัน เอลมานเดอร์ กับ เควิน เดวีส์ ดาวเตะดีกรีทีมชาติอังกฤษคนใหม่ล่าสุด
ด้าน “ช่างปั้นหม้อ” ทีมเยือน มี 10 แต้มจาก 7 นัด อยู่ที่ 7 ของตาราง โดยเกมนี้ โทนี พูลิส นายใหญ่ของทีม จะยังไม่มี มามาดี ซิเดเบ หัวหอกตัวเก่งที่เจ็บยาว และต้องรอเช็กความฟิตของ แอนดี วิลกินสัน นอกนั้นพร้อมลงสนามทั้งหมด โดยในตำแหน่งผู้รักษาประตูนั้น โธมัส โซเรนเซน น่าจะเรียกความฟิตทันลงเฝ้าเสา หลังเจ้าตัวบาดเจ็บกล้ามเนื้อเล็กน้อยจากเกมทีมชาติ ส่วนแผงหลัง 4 คนประกอบด้วย โรเบิร์ต ฮูธ, อับดุลลาย ฟาย, ไรอัน ชอว์ ครอสส์ และ แดนนี คอลลินส์ ส่วนกองกลางประกอบด้วย รอรี ดีแลป, แมทธิว เอเธอริงตัน, เจอร์เมน เพนแนนท์ และ ดีน ไวท์เฮด ส่วนคู่หัวหอกเป็น โจนาธาน วอลเตอร์ส กับ เคนวีน โจนส์
แนวโน้มของเกม - บอลคู่นี้ถือว่ามีสไตล์การเล่นที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือเน้นลูกกลางอากาศโดยใช้ศูนย์หน้ารูปร่างใหญ่เป็นหลัก ส่งผลให้รูปเกมไม่น่าจะได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก ซึ่งบอลที่ออกสูสีแบบนี้คงต้องเน้นฟันธงเจ้าบ้านไว้ก่อน ดูแล้วเกมนี้มีโอกาสออกเสมอสูง แต่ถ้าจะมีผู้ชนะก็น่าจะเป็น โบลตัน เจ้าถิ่น ที่มีโอกาสมากกว่า
สกอร์ที่คาด - โบลตัน วันเดอเรอร์ส เสมอ สโตค ซิตี 1-1
ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษโบลตัน - สโตค ซิตี [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
ที่มา เดลินิวส์

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นิวคาสเซิล - วีแกน [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แมนฯ ยูไนเต็ด - เวสต์บรอมวิช [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
นิวคาสเซิล - วีแกน
สนาม : เซนต์ เจมส์ ปาร์ค
เวลา : 21.00 น.
“สาลิกาดง” เจ้าถิ่น มี 7 แต้มจาก 7 นัด อยู่อันดับที่ 15 ของตารางในเวลานี้ โดยในเกมนี้ คริส ฮิวจ์ตัน กุนซือของทีม เจอปัญหานักเตะบาดเจ็บเล่นงานหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ฟาบิโอ โคลอชชินี, สตีฟ ฮาร์เปอร์, แดนนี กัธรี, แดน กอสลิง, สตีเวน เทย์เลอร์ รวมถึง ฮาเต็ม เบน อาร์กฟา ที่ขาหักต้องพักยาว โดย 11 ตัวจริงที่คาดประกอบด้วย ทิม ครูล เป็นผู้รักษาประตู ปราการหลัง 4 คนมี เจมส์ เพิร์ช, ไมค์ วิลเลียมสัน, โซล แคมป์เบลล์ และ โฆเซ เอ็นริเก กองกลางมี โจอี บาร์ตัน, โฮนาส กูเตียร์เรซ, ชีค ติโอเต, เควิน โนแลน และ เวย์น เราต์เล็ดจ์ โดย แอนดี คาร์โรลล์ จะกลับมายึดตำแหน่ง หัวหอกตัวจริงอีกครั้ง
ด้าน “เดอะ ลาติกส์” ทีมเยือน มี 8 คะแนนจาก 7 นัด อยู่ที่ 14 ของตาราง เกมนี้ โรแบร์โต มาร์ติเนซ ต้องรอเช็กฟิต ทอม เคลฟเวอร์ลีย์ กองกลางดาวรุ่งที่ยืมตัวมาจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นพร้อมลงสนามทั้งหมด โดย 11 ตัวจริงที่คาดในเกมนี้ประกอบด้วย อาลี อัล ฮับซี เป็นผู้รักษาประตู กองหลังมี สตีฟ โกฮูรี ยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ คู่กับ อันโตลิน อัลคาราซ โดยมี เอเมอร์สัน บอยซ์ และ มายเนอร์ ฟิเกรัว เป็นแบ๊กขวา-ซ้าย กองกลางมี ชาร์ลส์ เอ็นซ็อกเบีย, ฆอร์ดี โกเมซ, เฮนดรี โธมัส และ เจมส์ แม็คคารธี ส่วนคู่หัวหอกเป็น ฮูโก โรดาเยกา กับ ฟรังโก ดิ ซานโต
แนวโน้มของเกม - เกมคู่นี้ถือว่าค่อนข้างคู่คี่สูสี เมื่อเทียบจาก ชื่อชั้นของตัวผู้เล่นและฟอร์มการเล่นในระยะหลัง แต่การได้เล่นในถิ่น เซนต์ เจมส์ ปาร์ค น่าจะทำให้ นิวคาสเซิล ได้เปรียบนิด ๆ และการได้ แอนดี คาร์โรลล์ กลับมาประจำการในแดนหน้า น่าจะช่วยให้เกมรุกเฉียบคมขึ้นเยอะ ดูแล้ว “สาลิกาดง” น่าจะเบียดเอาชนะไปได้ในที่สุด
สกอร์ที่คาด - นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ชนะ วีแกน แอธเลติก 2-1
ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นิวคาสเซิล - วีแกน [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
ที่มา เดลินิวส์

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อาร์เซนอล - เบอร์มิงแฮม[บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แมนฯ ยูไนเต็ด - เวสต์บรอมวิช [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
อาร์เซนอล - เบอร์มิงแฮม
สนาม : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
เวลา : 21.00 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 3
“ปืนใหญ่” เจ้าถิ่น มี 11 แต้มจาก 7 นัด อยู่ที่ 4 ของตาราง เกมนี้ อาร์แซน เวนเกอร์ นายใหญ่ชาวฝรั่งเศส จะไม่มี บาการี ซาญา, คีแรน กิบส์, โรบิน ฟาน เพอร์ซี และ อารอน แรมซีย์ ที่ยังบาดเจ็บลงช่วยทีม และต้องรอเช็กความฟิตของ โธมัส แฟร์มาเลน ปราการหลังทีมชาติเบลเยียม ส่วน ธีโอ วัลค็อตต์ และ นิคลาส เบนท์เนอร์ ลงซ้อมได้แล้ว แต่อาจเป็นตัวสำรองไปก่อน โดย 11 ตัวจริงในเกมนี้ ลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี น่าจะได้โอกาสเฝ้าเสาเป็นตัวจริงต่อไป ส่วน เซบาสเตียง สกิลลาชี กับ โลร็องต์ กอสเซียลนี จะยืนเป็น เซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กัน แบ๊กขวา-ซ้ายเป็น เอ็มมานูเอล เอบูเอ กับ กาแอล กลิชี ส่วนกองกลางนั้น เชส ฟาเบรกาส น่าจะกลับมาเป็นตัวจริง โดยจะประสานงานกับ อเล็กซ์ ซง, ซามีร์ นาสรี, อาบู ดิยาบี และ อังเดร อาร์ชาวิน โดยมี มารูยาน ชามัคห์ เป็นหัวหอกตัวเป้า
ด้าน “ลูกโลก” ทีมเยือน ฟอร์มแผ่วลงไปในช่วงหลัง ส่งผลให้ร่วงลง ไปรั้งที่ 16 ของตาราง มี 7 แต้มจาก 7 นัด เกมนี้ อเล็กซ์ แม็คลีช หมดสิทธิใช้งาน เจมส์ แม็คฟาดเดน กองหน้าตัวเก่งที่หัวเข่าเดี้ยงต้องพักยาวถึงปีหน้า และ เคร็ก การ์ดเนอร์ ที่ติดโทษแบนเป็นเกมที่ 2 จากการโดนใบแดงในเกมกับ วีแกน ขณะที่ ฌอง โบเซชูร์ ดาวเตะทีมชาติชิลี ก็ยังไม่น่าจะพร้อมสำหรับเกมนี้ นอกนั้นพร้อมลงสนาม โดย 11 ตัวจริงที่คาดประกอบด้วย เบน ฟอสเตอร์ เฝ้าเสา กองหลังเป็น สตีเฟน คาร์, โรเจอร์ จอห์นสัน, สกอตต์ แดนน์ และ เลียม ริดจ์เวลล์ กองกลางประกอบด้วย ลี โบว์เยอร์, แบร์รี เฟอร์กูสัน, เซบาสเตียน ลาร์สสัน และ อเล็กซานเดอร์ ฮเล็บ โดยมี คาเมรอน เจอโรม เป็นกองหน้า ตัวเป้า
แนวโน้มของเกม - แม้ฟอร์มหลังสุด “ปืนใหญ่” จะบุกแพ้ เชลซี 0-2 แต่รูปเกมของพวกเขาทำได้ดีพอสมควร เป็นรองที่ความเด็ดขาดในจังหวะจบสกอร์เท่านั้น เกมนี้ได้กลับมาเล่นในบ้าน และเจอกับคู่แข่งที่ผลงานไม่ดีเท่าที่ควรในระยะหลังอย่าง เบอร์มิงแฮม ดูแล้ว “ปืนใหญ่” น่าจะเก็บ 3 แต้มเต็มได้ แบบสบาย ๆ
สกอร์ที่คาด - อาร์เซนอล ชนะ เบอร์มิงแฮม ซิตี 3-1
ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อาร์เซนอล - เบอร์มิงแฮม[บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
ที่มา เดลินิวส์

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แมนฯ ยูไนเต็ด - เวสต์บรอมวิช [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แมนฯ ยูไนเต็ด - เวสต์บรอมวิช [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
แมนฯ ยูไนเต็ด - เวสต์บรอมวิช
สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด
เวลา : 21.00 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 1
“ปิศาจแดง” เจ้าถิ่น มี 13 แต้มจาก 7 นัด อยู่อันดับ 3 ของตาราง โดยเกมนี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือของทีม ต้องรอเช็กความฟิตของ ไรอัน กิกส์ ปีกจอมเก๋าที่มีอาการเจ็บเอ็นหลังหัวเข่ารบกวน ส่วน อันโตนิโอ วาเลนเซีย พักยาวถึงต้นปีหน้า นอกนั้นพร้อมลงสนามทั้งหมด โดย 11 ตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนามในเกมนี้ ประกอบด้วย เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เฝ้าเสา เนมานยา วิดิช ยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ส่วนแบ๊กซ้าย ปาทริซ เอฟรา จะกลับมายึดตัวจริง ขณะที่แบ๊กขวาเป็น จอห์น โอเช กองกลาง 4 คนมี ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์, พอล สโคลส์, นานี และ ปาร์ค จี ซอง โดยมี เวย์น รูนีย์ เป็นกองหน้าคู่กับ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ
ส่วน “เดอะ แบกกีส์” ทีมเยือน ทำผลงานยอดเยี่ยมในช่วงต้น ซีซั่น โดยเก็บได้ถึง 11 แต้มจาก 7 เกมแรก รั้งอันดับ 6 ของตาราง เกมนี้ โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ กุนซือหนุ่มชาวอิตาลี ที่เพิ่งคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกประจำเดือนที่ผ่านมา อาจไม่มี 2 กำลังหลักในเกมรุกอย่าง ปีเตอร์ โอเด็มวิงกี และ เจอโรม โธมัส ลงช่วยทีมในเกมนี้ เนื่องจากทั้งคู่มีอาการเจ็บรบกวนและยังไม่สามารถลงซ้อมได้ ส่วน เกรแฮม ดอร์แรนส์ ที่มีอาการเจ็บเอ็นหลังหัวเข่าก่อนหน้านี้ น่าจะฟิตทันลงสนามได้ โดย 11 ตัวจริงที่คาดประกอบด้วย สกอตต์ คาร์สัน เป็นนายทวาร กองหลัง 4 คนมี นิคกี ชอร์รีย์, โจนาส โอลส์สัน, พอล ชาร์เนอร์ และ กอนซาโล ยารา กองกลาง 5 คนประกอบด้วย กาเบรียล ทามาส, เจมส์ มอร์ริสัน, เกรแฮม ดอร์แรนส์, ยูสซุฟ มูลุมบู และ คริส บรันต์ โดยมี มาร์ก อองตวน ฟอร์ตูเน เป็นกองหน้าตัวเป้า
แนวโน้มของเกม - แม้จะทำผลงานได้ดีมาตลอดในระยะหลัง แต่เกมนี้ เวสต์บรอมวิช ต้องเจองานหนักในการบุกไปเยือน “ปิศาจแดง” ที่แข็งแกร่งเสมอยามได้ลงเล่นในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ดังนั้นการบุกไปเก็บแต้มกลับมาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังขาดตัวหลักในเกมรุกอย่าง โอเด็มวิงกี ไปอีกต่างหาก ดูแล้วลูกทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน น่าจะคว้า 3 แต้มในเกมนี้ได้อย่างไม่ยากนัก
สกอร์ที่คาด - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน 2-0
ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แมนฯ ยูไนเต็ด - เวสต์บรอมวิช [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
ที่มา เดลินิวส์

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แอสตัน วิลลา - เชลซี [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แอสตัน วิลลา - เชลซี [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
แอสตัน วิลลา - เชลซี
สนาม : วิลลา ปาร์ค
เวลา : 23.30 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 3
“สิงห์ผงาด” เจ้าถิ่น มี 10 คะแนนจากการลงเตะไปแล้ว 7 นัด รั้งอันดับ 8 ของตาราง โดยเกมนี้ เชราร์ อุลลิเยร์ กุนซือตาโปนชาวฝรั่งเศส หมดสิทธิ ใช้บริการ เอมิล เฮสกี หัวหอกหุ่นบึ้กที่เจ็บน่อง และยังต้องรอเช็ก กาเบรียล อักบอนลาฮอร์ ดาวยิงความเร็วสูงที่อยู่ในช่วงเรียกความฟิต หลังเข้ารับการ ผ่าตัดย่อยรักษาอาการบาดเจ็บที่โคนขาหนีบ ส่วนนักเตะติดโทษแบนไม่มี โดย 11 ตัวจริงที่คาดประกอบไปด้วย แบรด ฟรีเดล เป็นนายทวาร ริชาร์ด ดันน์ ยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่ เจมส์ คอลลินส์ แบ๊กขวา-ซ้ายเป็น ลุค ยัง กับ สตีเฟน วอร์น็อค กองกลาง 4 คนมี สติลิยัน เปตรอฟ, ไนเจล รีโอ โคเกอร์, สจ๊วร์ต ดาวนิง และ แอชลีย์ ยัง ที่จะถอยลงมายืนเป็นมิดฟิลด์ โดยคู่หัวหอกเป็น อักบอนลาฮอร์ กับ ยอห์น คาริว
ด้าน เชลซี ผู้มาเยือน นำเป็นจ่าฝูงมี 18 คะแนนจาก 7 นัด เกมนี้ คาร์โล อันเชล็อตติ ส่อแววเจอปัญหาในการจัดทัพ โดยเฉพาะในเกมรับ เมื่อ จอห์น เทอร์รี เจ็บหลังจากการซ้อมกับทีมชาติ ขณะที่ อเล็กซ์ เจ็บต้นขา และไม่น่าจะฟิตทันลง แถม เจฟฟรี บรูมา กองหลังดาวรุ่งชาวฮอลแลนด์ก็ดันมาเจ็บเอ็นหลังหัวเข่าเข้าให้อีกคน ส่วน ยอสซี เบนายูน ยังไม่หายเดี้ยง หมดสิทธิลงสนามแน่นอน ขณะที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด และ ซาโลมง กาลู ยังต้องรอเช็กความฟิต โดย 11 ตัวจริงที่คาดในเกมนี้ ประกอบด้วย ปีเตอร์ เช็ก เป็นนายทวาร โดย บรานิสลาฟ อิวาโนวิช จะหุบเข้ามายืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ มิชาเอล เอสเซียง ที่อาจต้องถอยลงมายืนเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟจำเป็น ส่วนแบ๊กขวา-ซ้ายเป็น เปาโล แฟร์ไรรา และ แอชลีย์ โคล กองกลาง 3 คนประกอบด้วย จอห์น โอบี มิเกล, รามิเรส และ แฟรงค์ แลมพาร์ด ส่วน 3 แนวรุกมี ฟลอร็องต์ มาลูดา, ดิดิเยร์ ดร็อกบา และ นิโกลาส์ อเนลกา ประจำการเช่นเคย
แนวโน้มของเกม - แม้ดูเผิน ๆ เชลซี จะเหนือกว่า แต่เกมนี้พวกเขาต้องขาดกำลังหลักไปหลายคน โดยเฉพาะในเกมรับ ทำให้น่าเป็นห่วงว่าอาจเสียท่าให้เกมรุกที่ค่อนข้างวูบวาบของเจ้าถิ่นได้ โดยเฉพาะหากได้ อักบอนลาฮอร์ กลับมายืนเป็นตัวจริง ดูแล้วหากเกมรุกเข้าฝัก “สิงห์ผงาด” ก็มีโอกาสลุ้นแบ่งแต้มเช่นกัน
สกอร์ที่คาด - แอสตัน วิลลา เสมอ เชลซี 1-1
ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แอสตัน วิลลา - เชลซี [บทวิเคราะห์วิจารณ์แบบฟันธง]
ที่มา เดลินิวส์

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หอ หึหึ! กิ๊ก พี่เสือ โชว์หวอ แถม กกน. ไม่ใส่

หอ หึหึ! กิ๊ก พี่เสือ โชว์หวอ แถม กกน. ไม่ใส่ Tiger Woods / Rachel Uchitel
อยู่ดีๆ ก็รู้หวั่นไหว เสียววาบซะอย่างนั้น! เมื่อ ราเชล อูชิเทล กิ๊กเก่าเบอร์หนึ่งของ ไทเกอร์ วู้ดส์ ต้นตอความ ร้าวฉาน เมียน้อยสะท้านโลก นึกสนุกตั้งใจลืมใส่กางเกงชั้นใน แถวยังเปิดหวอ แถมให้อีก ระหว่างออกมาเที่ยวราตรีย่าน ฮอลลีวู้ด ทำเอาปาปารัสซี่ มือไม้สั่น รีบแชะกันมือเป็นระวิง
ราเชล อูชิเทล กิ๊กหมายเลข 1 ของ “พญาเสือ” ไทเกอร์ วู้ดส์ ที่ตกเป็นข่าวอื้อฉาว ซุกกิ๊กหรือชู้รัก 121 คน ล่าสุด ก็ทำเอา พี่เสื้อใจสั้นระทวย เมื่อช่างภาพกดชัตเตอร์แบบไม่ยั่ง เมื่อเธอสับขาหลอก ถึงกับเห็น “น้องสาวสุดที่รัก” ที่อยู่ในชุดกระโปรงสั้นสีดำรัดติ่ว ซึ่งแทนที่จะเป็นกางเกงในหวานแหววตามแบบฉบับของหญิงสาว กลับกลายน้องสาวคนสวยแถมมีเส้นหมี่สีดำรำไรๆ
ที่มา mthai

ทางออกของ “หงส์จนตรอก”

หลังผ่านพ้นโปรแกรมฟาดแข้งของทีมชาติในสัปดาห์นี้ เกมลีกของแต่ละชาติก็จะกลับมาบู๊กันต่อในช่วงสุดสัปดาห์หน้า โดยหนึ่งในเกมที่น่าจะได้รับความสนใจมากที่สุด คือเกมพรีเมียร์ลีกนัด “เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บีแมตช์” ซึ่ง ลิเวอร์พูล จะยกพลข้ามสวนสาธารณะ สแตนลีย์ ปาร์ค ไปเยือนถิ่น กูดิสัน ปาร์ค ของ เอฟเวอร์ตัน คู่แค้นร่วมเมืองในวันอาทิตย์ที่ 17 ต.ค. นี้
และคงมีไม่บ่อยนักที่ศึก “เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บีแมตช์” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเกมดาร์บีแมตช์ที่เข้มข้นและมีมนต์ขลังที่สุดของวงการลูกหนังยุโรป กลับต้องกลายเป็นการพบกันของ 2 ทีมที่กำลังดิ้นรนอยู่ในโซนท้ายตารางเหมือนในครั้งนี้ เมื่อการบุกเยือนถิ่น “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ในครั้งนี้ ลิเวอร์พูล ไปในฐานะทีมที่กำลังลุ้นหนีตกชั้น หลังจากความพ่ายแพ้ต่อ แบล็กพูล 1-2 คาถิ่น แอนฟิลด์ ของตัวเองเมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้ลูกทีมของ รอย ฮอดจ์สัน หล่นปุ๊ลงไปอยู่ในอันดับที่ 18 ของตาราง โดยมีแค่ 6 แต้มจาก 7 นัดเท่ากับ เอฟเวอร์ตัน แต่ประตูได้ลบเสียเป็นรองอริร่วมเมือง
ครั้งสุดท้ายที่พลพรรค “หงส์แดง” ออกสตาร์ตได้ย่ำแย่เทียบเท่ากับซีซั่นนี้ เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1954 ซึ่งพวกเขาตกชั้นในบั้นปลาย แต่หลังจาก บิล แชงค์ลีย์ พาทีมกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในฤดูกาล 1961-62 พวกเขาก็ไม่เคยตกชั้นอีกเลย แต่มาถึงเวลานี้ แม้เส้นทางจะยังเหลืออยู่อีกยาวไกล แต่ลึก ๆ แล้ว เชื่อว่าในใจของเหล่า “เดอะ ค็อป” พันธุ์แท้ อาจเริ่มมีอาการหวั่น ๆ กันบ้างแล้วว่าช่วงเวลา 49 ปีบนลีกสูงสุดแดนผู้ดีของพวกเขา อาจเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดก็เป็นได้
หากจะว่าไป มันคงเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อว่าสโมสรที่มีพ่อค้าแข้งระดับโลกอย่าง โฆเซ เรนา, เฟอร์นานโด ตอร์เรส และ สตีเวน เจอร์ราร์ด อยู่ในทีม จะต้องมาอยู่ในโซนสีแดงท้ายตารางแบบนี้ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเมื่อในความเป็นจริงที่สาวก “หงส์แดง” ยากที่จะทำใจยอมรับในเวลานี้คือ พวกเขากำลังอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ
ช่วงเวลาที่ผ่านมา การบริหารสโมสรโดย 2 ปลิงมะกันอย่าง ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเล็ตต์ ถูกแฟนบอลรวมถึงสื่อต่าง ๆ หยิบยกเอามาจวกยับว่าเป็นหนึ่งในเหตุผลของความล้มเหลวที่เกิดขึ้นกับสโมสร เมื่อการเข้ามาของ 2 เจ้าสัวจากแดนลุงแซม เกิดขึ้นพร้อมหนี้สินก้อนใหญ่ยักษ์ที่สโมสรต้องแบกรับ อย่างไรก็ดี ตอนนี้ทีมได้เจ้าของใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ปัญหาด้านการเงินเริ่มจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่กระนั้นก็ดี หาก ลิเวอร์พูล ต้องการให้สถานการณ์ของสโมสรกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำคือการกลับมาทำผลงานในสนามให้ยอดเยี่ยมอีกครั้ง และต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุดด้วย
แล้วพวกเขามีทางออกทางไหนบ้าง เพื่อที่จะประคับประคองให้ทีมสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติในตอนนี้ไปให้เร็วที่สุด?

-ไว้ใจให้ รอย ฮอดจ์สัน คุมทีมต่อไป
ถึงเวลานี้ แฟนบอล ลิเวอร์พูล เริ่มที่จะออกมาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมกันบ้างแล้ว เพราะมีแฟนบอลจำนวนมากที่สงสัยในฝีมือของ ฮอดจ์สัน ในการกุมบังเหียนทีมระดับนี้ ทั้งที่เขาเพิ่งมีเวลาคุมทีมแค่ 7 นัดเท่านั้น
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผลงานอันย่ำแย่มันคือสิ่งที่บ่งบอกทุกสิ่งทุกอย่าง การชนะเกมเดียวจาก 7 นัดในลีก รวมถึงการตกรอบ คาร์ลิง คัพ ด้วยการแพ้ทีมอย่าง นอร์ทแธมป์ตัน จาก ลีก ทู คาบ้าน คือสิ่งที่ “เดอะ ค็อป” ทั่วโลกไม่อาจยอมรับได้ แม้ว่าทีมจะกำลังประสบปัญหาด้านการเงินอย่าง หนัก แต่ด้วยขุมกำลังชั้นยอดที่มีอยู่ในมือ ทำให้หลายคนคาดหวังว่า ฮอดจ์สัน ควรจะทำได้ดีกว่าการดิ้นรนหนีตกชั้น
จนถึงเวลานี้ ดูเหมือนว่าอดีตกุนซือ ฟูแลม จะยังไม่สามารถค้นหา 11 ตัวจริงที่ลงตัวได้ หลายครั้งเขาใช้งานนักเตะบางคนในตำแหน่งที่ไม่ถนัด และที่สำคัญที่สุดคือ เขายังไม่อาจทำให้ดาวยิงเบอร์ 1 ของทีมอย่าง เฟอร์นานโด ตอร์เรส กลับคืนฟอร์มเก่งได้เลย ความตกต่ำของ ลิเวอร์พูล ในเวลานี้ มันเกิดจากตัวเขาล้วน ๆ หรือมันเกิดจากความผิดพลาดของกุนซือคนก่อนรวมถึงเจ้าของทีมคนปัจจุบัน นี่คือสิ่งที่จะต้องถูกนำมาถกเถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิง และมันอาจเป็นสิ่งที่ตัดสินอนาคตในถิ่น แอนฟิลด์ ของ “ป๋ารอย” ก็เป็นได้
- มองหาผู้จัดการทีมคนใหม่
ชื่อของ มาร์ติน โอนีล อดีตกุนซือ แอส ตัน วิลลา น่าจะถูกยกขึ้นมาเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่จะเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของ “หงส์แดง” หลังจากกุนซือจอมแอ๊คชั่นกำลังว่างงานนับตั้งแต่ตัดสินใจไขก๊อกอำลาเก้าอี้กุนซือ “สิงห์ผงาด” ชนิดทำเอาอึ้งกันไปทั้งวงการเมื่อช่วงก่อนเปิดซีซั่นนี้ อดีตดาวเตะ นอตติงแฮม ฟอเรสต์ ผ่านการพิสูจน์ตัวเองเรียบร้อย และฝีมือในการ คุมทีมของเขาก็เป็นที่ยอมรับนับถือในวงการลูกหนังผู้ดีอยู่แล้ว เรียกว่าชื่อเสียงบารมีเพียงพอกับเก้าอี้นายใหญ่แห่งถิ่น แอนฟิลด์ แน่นอน แต่ปัญหาคือเขาจะอยากเอาชื่อเสียงเกียรติยศที่สั่งสมมานาน มาเสี่ยงกับการรับเผือกร้อนอย่าง ลิเวอร์พูล เอามาไว้ในมือหรือเปล่า?
ถ้าไม่ใช่ โอนีล ตัวเลือกอีกคนก็อาจจะเป็น เจอร์เกน คลินส์มันน์ อดีตเทรนเนอร์ทีมชาติเยอรมนี ผู้ได้รับเสียงชื่นชมล้นหลามเมื่อครั้งพา “อินทรีเหล็ก” คว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 2006 ในบ้านตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่า 2 เจ้าสัวมะกันอยากได้ “ฉลามขาว” มาคุมทีมจนตัวสั่น แต่ทว่าดูแล้ว เจ้าตัวน่าจะอยากนอนอาบแดดบนชายหาดในแคลิฟอร์เนีย มากกว่าจะมาตกระกำลำบากกับ “หงส์แดง” ในเวลานี้

- หันกลับไปหา เคนนี ดัลกลิช
ช่วงท้ายของเกมกับ แบล็กพูล เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ในขณะที่บรรดาขุนพล “หงส์แดง” กำลังลนลานเมื่อเดินเข้าใกล้กับความพ่ายแพ้อันน่าอับอายเข้าไปทุกทีนั้น เหล่ากองเชียร์บนอัฒจันทร์เริ่มตะโกนเรียกชื่อ “ดัลกลิช! ดัลกลิช!” นั่นคือสิ่งที่แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าพวกเขาต้องการให้คนที่พวกเขายกย่องเทิดทูนเสมือนพระเจ้า กลับมาทำหน้าที่พาพวกเขากลับคืนสู่ดินแดนสวรรค์อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็ช่วยพาพวกเขาให้หลุดพ้นจากขุมนรกในพื้นที่สีแดงของตารางคะแนนเสียที
ดัลกลิช ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งทูต และผู้อำนวยการศูนย์ฝึกเยาวชนของสโมสรนั้น เคยเสนอตัวรับงานแทน ราฟาเอล เบนิเตซ มาแล้วในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ถูกติดเบรกจาก มาร์ติน บรอห์ตัน ประธานสโมสร และ คริสเตียน เพอร์สโลว์ ซีอีโอของทีม ซึ่งเป็น 2 ชายผู้กลายเป็นปิศาจร้ายคนใหม่ในสายตาของสาวก “เดอะ ค็อป” ไปเรียบร้อยแล้ว
การปฏิเสธ ดัล กลิช ในครั้งนั้น อาจกลายเป็นการ “เสียโอกาส” ครั้งสำคัญของ ลิเวอร์พูล ในสายตาของใครหลาย ๆ คน เพราะเขาคนนี้คือผู้ที่พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแดนผู้ดีได้เป็นคนสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1990 การดึง “คิง เคนนี” กลับคืนสู่บัลลังก์ น่าจะสร้างความพอใจให้กับกลุ่มแฟนบอลที่ออกมาโวยวาย รวมถึงอาจเป็นการซื้อใจของสเกาเซอร์พันธุ์แท้ในห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวของทีม อย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด กับ เจมี คาร์ราเกอร์ ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญในใจของใครหลาย ๆ คนคือ “คิง เคนนี” รู้จักวิธีการในการเป็นโค้ชฟุตบอลสมัยใหม่หรือเปล่า และเขามีทักษะในการเตรียมทีมเพื่อลงเล่นในเกมระดับสูงแบบนี้มากน้อยแค่ไหน? เพราะในเมื่อครั้งล่าสุดที่เขาทำงานเป็นผู้จัดการทีมแบบเต็มเวลานั้น ต้องย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1998 โน่นเลยทีเดียว

- ปัดฝุ่นระบบบูตรูมสตาฟฟ์
คอนเซปต์ของ ระบบบูตรูมสตาฟฟ์ อันลือลั่นของ ลิเวอร์พูล มันอาจกลายเป็นเรื่องที่ถูกมองว่าโบราณเป็นเต่าล้านปีไปแล้วสำหรับเกมฟุตบอลยุคมิลเลเนียม แต่การนำมันกลับมาปัดฝุ่นด้วยการหวนกลับไปแต่งตั้งคนภายในสโมสรขึ้นมากุมบังเหียนทีมอีกครั้งนั้น อาจกลายเป็นเรื่องดีสำหรับบรรดา “เดอะ ค็อป” ก็เป็นได้ ว่าแต่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นใครกันล่ะ? ถ้าเป็น แซมมี ลี หลายคนคงร้องยี้ หลังมือขวาร่างเล็กของ รอย ฮอดจ์สัน เคยฝากผลงานชิ้นโบดำเอาไว้ เมื่อครั้งก้าวขึ้นมาเป็นนายใหญ่ของ โบลตัน วันเดอเรอร์ส แทนที่ “บิ๊กแซม” แซม อัลลาร์ไดซ์ โดย “ลิตเติล แซม” พา “เดอะ ทร็อตเตอร์ส” คว้าชัยชนะได้แค่ 3 เกมจากการลงสนาม 14 นัด ก่อนจะถูกเด้งตกเก้าอี้ไปตามระเบียบ
สำหรับในรายของ เมาริซิโอ เปเยกริโน อดีตกองหลัง บาเลนเซีย ที่ติดสอยห้อยตาม เบนิเตซ มาจาก บาเลนเซีย ก่อนจะแขวนสตั๊ดและกลายเป็นหนึ่งในทีมงานโค้ชของสโมสรนั้น ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกมองว่ามีโอกาสเลื่อนขั้นขึ้นมาคุมทัพ “หงส์แดง” เต็มตัวเช่นกันหลังจาก “เอล ราฟา” อำลาไปผจญภัยกับ อินเตอร์ มิลาน แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ตัดสินใจเก็บข้าวของย้ายตามเจ้านายเก่าไปอยู่ที่อิตาลี ซึ่งส่งผลให้ตัวเลือกภายในถิ่น แอนฟิลด์ สำหรับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ยิ่งหายาก ขึ้นไปอีก
กระนั้นก็ดี ยังมีอีกคนที่อาจกลายเป็นตัวเลือกที่ทุกคนอาจจะมองข้าม เขาคนนั้นคือ เจมี คาร์ราเกอร์ ปราการหลังจอมแกร่ง ลูกหม้อตัวจริงเสียงจริงของ ลิเวอร์พูล นั่นเอง เพราะในการให้สัมภาษณ์หลาย ๆ ครั้งในระยะหลัง “คาร์รา” มักจะแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติการเป็นผู้จัดการ ทีมที่เขามีอยู่ในตัวอย่างเด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังมีแววตาของความมุ่งมั่นมาโดยตลอดอีกด้วย ถึงแม้การทำงานในแบบควบตำแหน่งผู้เล่น-ผู้จัดการทีม จะไม่ค่อยเป็นที่นิยมในยุคปัจจุบัน แถมยังหาคนที่ประสบความสำเร็จได้ยากเต็มทีนับตั้งแต่ จานลูกา วิอัลลี เคยทำสำเร็จกับ เชลซี แต่หากย้อนกลับไปดูเรื่องราวในอดีต เคนนี ดัลกลิช เองก็เคยรับบทนี้กับ “หงส์แดง” มาแล้ว แถมยังทำได้ดีเสียด้วย.
ที่มา dailynews

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

รายการถ่ายทอดสด ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2010/2011

รายการถ่ายทอดสด ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2010/2011
รายการถ่ายทอดสด
การแข่งขัน ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2010/2011
ทางช่อง 3 และ www.thaitv3.com
รอบ คู่แข่งขัน วันที่ เวลาถ่ายทอดสด
Group Stage บาร์เซโลน่า
พบ
พานาธิไนกอส 14 กันยายน 53 01.30 น.เป็นต้นไป
Group Stage
ซิลิน่า
พบ
เชลซี 15 กันยายน 53 01.30 น.เป็นต้นไป
Group Stage
โอแซร์
พบ
เรอัล มาดริด 28 กันยายน 53 01.30 น. เป็นต้นไป
Group Stage
วาเลนเซีย
พบ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 29 กันยายน 53 01.30 น. เป็นต้นไป
Group Stage
เรอัล มาดริด
พบ
เอซี มิลาน 19 ตุลาคม 53 01.30 น. เป็นต้นไป
Group Stage
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
พบ
บูซาร์สปอร์ 20 ตุลาคม 53 01.30 น. เป็นต้นไป
Group Stage
สเปอร์
พบ
อินเตอร์ มิลาน 2 พฤศจิกายน 53 02.30 น. เป็นต้นไป
Group Stage เชลซี
พบ
สปาร์ตัก มอสโก

ที่มา thaitv3

รายการบล็อกของฉัน