ย้อนกลับไปในฟุตบอลโลกปี 1986 “หัตถ์พระเจ้า” สร้างชื่อให้ ดีเอโก มาราโดนา กระหึ่มขึ้นมาในวงการลูกหนัง หลังมีส่วนช่วยนำ อาร์เจนตินา ประกาศศักดาแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์ มาคราวนี้ในฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ “เสือเตี้ย” กลับมายืนบนพื้นที่อันคุ้ยเคย หากแต่ผันตัวเองมาทำหน้าที่กุนซือของทีมชาติอาร์เจนตินา อันเป็นตำแหน่งที่แฟนบอลทั่วโลกจับตาว่าบังเหียนภายใต้มือแห่งพระเจ้าคู่นี้สามารถทำให้ฝันของแฟนๆ อาร์เจนไตน์ เป็นจริงมากน้อยเพียงใด
ทันทีที่สหพันธ์ฟุตบอลอาร์เจนตินา (เอเอฟเอ) ประกาศแต่งตั้งให้ ดีเอโก มาราโดนา เข้ารับตำแหน่งกุนซือ “ฟ้าขาว” คนที่ 28 ในประวัติศาสตร์ เพื่อสานงานคุมทัพต่อจาก อัลฟิโอ บาซิเล พลันมีเสียงตอบรับในทางไม่มั่นใจในฝีมือของอดีตกัปตันทีมชาติวัย 49 ปี ออกมาอยู่เนืองๆ เหตุเพราะ มาราโดนา แทบไม่มีประสบการณ์คุมทีม เคยทำงานให้สโมสรอย่าง แมนดิยู เด คอร์เรียนเตส และ ราซิง คลับ เพียงอย่างละปีเท่านั้น และก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ทว่า ในทางกลับกันแฟนๆ มองว่า “เสือเตี้ย” สามารถปลุกขวัญกำลังใจ ความเชื่อมั่นของแข้งอาร์เจนไตน์ที่ดับมอดไปนานกลับมาลุกโชติช่วงอีกครั้ง
แต่กระนั้นเส้นทางในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2010 โซนอเมริกาใต้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อาร์เจนตินา ปราชัยถึง 6 นัด (จากทั้งหมด 18 นัด) อย่างไรก็ตาม มาราโดนา ยังกระเสือกกระสนพาทัพ “ฟ้าขาว” คว้าอันดับ 4 ตามหลัง บราซิล, ชิลี และ ปารากวัย เป็นตัวแทนของโซนเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายเช่นเดียวกับ อุรุกวัย ที่ได้สิทธิจากการเตะเพลย์ออฟ โดยฟุตบอลโลกหนนี้ อาร์เจนตินา ถูกยกให้เป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์มาครองไม่แพ้ สเปน, บราซิล หรือแม้แต่ อังกฤษ เพียงแต่ มาราโดนา ยังต้องสร้างผลงานการคุมทัพให้ประจักษ์กับคำสบประมาท
เริ่มจากการที่ มาราโดนา ถูกค่อนแคะมาโดยตลอด ว่า ถึงทุกวันนี้ยังไม่สามารถหาระบบที่ลงตัวให้ทีมได้เสียที แทกติกการเล่นแบบ 3-4-3 หรือ 4-4-2 สูตรใดกันเหมาะสมที่สุด อีกทั้ง “เสือเตี้ย” สร้างความประหลาดใจให้สื่อมวลชนเป็นอย่างยิ่ง เมื่อตัดสินใจไม่เรียกดาวดังอย่าง ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ แบ็กขวาจอมเก๋า และ เอสเตบัน คัมบิอาสโซ ห้องเครื่องดีกรีแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก กับ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน มาติดทีมเช่นเดียวกับ เอเซเกล ลาเวซซี กองหน้าตัวเก่งจากสโมสรนาโปลี แต่กลับเลือกใช้บริการของ มาร์ติน ปาแลร์โม หัวหอกตัวเก๋าซึ่งถูกมองว่าแก่เกินแกงไปแล้ว
แม้จะตัดตัวเก่า แต่อาร์เจนตินาในเวลานี้เรียกได้ว่าเป็นทีมที่ผู้เล่นพร้อมพรั่งไปด้วยซูเปอร์สตาร์อย่าง ลิโอเนล เมสซี, กอนซาโล ฮิกัวอิน, คาร์ลอส เตเบซ, อังเคล ดิ มาเรีย หรือลูกเขยคนโปรด เซร์คิโอ อกูเอโร ผนวกกับจอมเก๋าทั้ง กาเบรียล ไฮน์เซ, วอลเตอร์ ซามูเอล และ ฮวน เซบาสเตียน เวรอน ก็น่าจะส่งให้ อาร์เจนตินา มีโอกาสประสบความสำเร็จไม่น้อย จากผลการจับสลากที่เอื้ออำนวย รอบแรกเพื่อนร่วมกลุ่มบี อย่าง ไนจีเรีย, เกาหลีใต้ หรือ กรีซ ไม่น่าจะทานทนต่อความสามารถเฉพาะตัวอันเหลือล้นของเหล่าดาวเตะที่เอ่ยชื่อมาข้างต้น เมื่อเข้าถึงรอบน็อกเอาต์ 16 ทีมสุดท้าย อาร์เจนตินา จะไขว้ไปเจอทีมจากกลุ่มเอ ซึ่งไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส, แอฟริกาใต้ (เจ้าภาพ), เม็กซิโก หรือเพื่อนร่วมทวีปอย่าง อุรุกวัย ก็ไม่น่าจะต่อกรกับขุนพลแข้ง “ฟ้าขาว” ได้
หากขุนพลฟ้าขาวผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ งานของ มาราโดนา จะถูกท้าทายขึ้นเป็นลำดับ เพราะตามเส้นทางแล้วมีโอกาสโคจรมาพบ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ซึ่ง อาร์เจนตินา เคยบุกไปอุ่นเครื่องชนะมาได้แล้ว หากหลุดเข้าถึงรอบตัดเชือก คู่แข่งที่มีโอกาสไปยืนรออยู่อาจมีทั้ง “แชมป์โลก” อิตาลี หรือว่า “กระทิงดุ” สเปน แต่จะถึงเส้นทางตามที่วาดฝันเอาไว้หรือไม่นั้น มาราโดนา ยังมีการบ้านให้ทำอีกมากมาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่ด้วยว่าฮีโร่ที่เป็นตำนานของประเทศจะสามารถกลั่นประสบการณ์ในอดีต ให้กลายมาเป็นรูปแบบของเกมอันนำมาสู่ชัยชนะได้หรือไม่ และถ้าทุกอย่างลงตัวพระเจ้าประทานวันแห่งความสำเร็จให้เกิดขึ้นจริง เราคงได้เห็น มาราโดนา เปลื้องผ้าวิ่งฉลองไปรอบเมืองตามที่ได้ประกาศก้องไว้ แต่หากเป็นในทางตรงกันข้าม อาร์เจนตินา ประสบความล้มเหลว (อีกครั้ง) สมาคมลูกหนังอาร์เจนไตน์ อาจต้องสรรหาผู้ที่เหมาะสมเข้ามาสานฝันแชมป์ต่อจาก เซซาร์ หลุยส์ มินอตติ (ปี 1978) และ คาร์ลอส บิลาร์โด (ปี 1986) กันต่อไป
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
